20 November 2010

ไฟล์หนังสือ ป.เจริญธรรม

เป็นไฟล์ microsoft word สามารถอ่านเอง หรือนำไปพิมพ์เป็นเล่มได้
ขนาด 80mb
แตกไฟล์ด้วยโปรแกรม winrar, winzip นะครับ

07 October 2010

สิ่งที่มนุษย์ทนไม่ได้

สิ่งที่มนุษย์ทนไม่ได้ ก็คือ ทนที่จะสวนทางกับความคิด ความต้องการของตัวเองไม่ได้(ทนที่กิเลสใช้ให้คิด พูด ทำ ไม่ได้)

เช่น
ความยินดีพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

ความพอใจในรูป กลิ่น เสียง สัมภัส : ชายพอใจในหญิง หญิงพอใจในชาย เกิดราคะ ความต้องการ แม้รู้ว่าผิดประเภณีอันดีงาม ก็ทำการชิงสุกก่อนห่ามกัน ทนต่อรูปที่งามไม่ได้ ทนต่อกลิ่นน้ำหอม ทนต่อกลิ่นเรือนร่างไม่ได้ ทนต่อเสียงที่(อิไต้ อิไต้)ไม่ได้(อันนี้คงรู้กัน)
ทนต่อสัมผัส(การเสพกาม)ที่เย้ายวนใจไม่ได้ ก็คือทนสวนทางกับความคิดกับความต้องการของตนไม่ได้

ความพอใจในรส : ได้กินอาหารที่รสชาติดี ก็เกิดความติดใจ กินเข้าไปจนเกิดโทษ(อิ่มเกิน, อ้วน, กินไร้สาระ, กินเล่น) เพราะ ทนต่อรสอาหารไม่ได้
ทนต่อความอร่อยของอาหารไม่ได้ ก็คือทนสวนทางกับความคิดกับความต้องการของตนไม่ได้

อยากได้ iPhone ทั้งที่มีมือถืออยู่แล้ว เห็นคนเค้ามีกันก็อยากมีบ้าง ก็ไปซื้อมาจนได้ นี่ก็ทนสวนทางกับความคิดกับความต้องการของตนไม่ได้

เรื่องของความโกรธ(ความไม่พอใจ) พอเค้าด่าเค้าว่า ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ อับอายขายหน้า ก็ทนไม่ได้ ทนเจ็บใจไม่ได้ ทนเสียใจไม่ได้ ต้องตอบโต้กลับไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือแสดงอาการออกมา(เช่น ร้องให้, ด่าตอบ, ชกต่อย, ฆ่ากัน) เป็นต้น

แล้วถ้าทนไม่ได้แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดประโยชน์ เกิดโทษอย่างไร ?
แล้วต้องทำยังไงให้ทนต่อกิเลสที่ใช้ให้เรา คิด พูด ทำ ได้ ?
แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไรกับการรู้เรื่องนี้ ?
ทิ้งไว้เป็นคำถามให้แสดงความเห็นนะครับ ผมอยากจะรู้ความคิดของคุณ อิอิ

04 October 2010

จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวจริงหรือ

กิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นนายของจิต

จิตเป็นนามธรรม มีหน้าที่คิดตามอำนาจของกิเลสหรือปัญญา ตัวอย่างเช่น

ขณะที่ กิเลสความโลภ ครอบงำจิต จิตก็จะคิดอยากได้สิ่งต่าง ๆ เช่น อยากได้ทรัพย์สมบัติ อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นต้น ความโลภก็จะสั่งให้จิตคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งนั้น ๆ มาเป็นของตน ผู้ที่มีกิเลสหนาความโลภก็จะมาก จิตก็จะคิดตามอำนาจของกิเลส แม้ผิดกฎหมายก็จะทำ เช่น ใช้วาจา โกหก หลอกลวง ใช้กายไปฉกชิง วิ่งราว จี้ปล้น หรือวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ โดยไม่กลัวบาป กลัวโทษจากกฎหมายบ้านเมือง สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อื่น นี่คือกิเลสความโลภ เป็นนายของจิต

ขณะที่ กิเลสความโกรธ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อความโกรธครอบงำจิต ความโกรธก็จะใช้ให้จิตคิด โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ปองร้าย คิดทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น โดยใช้วาจาและกายประกอบกรรมชั่วต่าง ๆ โดยไม่คำนึงว่า จะผิดกฎหมาย ผิดครรลองครองธรรม หรือผิดจารีตประเพณี ทำความเดือดร้อนให้กับตนเอง ผู้อื่น และประเทศชาติบ้านเมือง นี่คือกิเลสความโกรธ เป็นนายของจิต

ขณะที่ กิเลสความหลง คือความรักใคร่พอใจ ในสิ่งต่าง ๆ กิเลสก็สั่งจิตให้ยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นความสุข เช่น พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ และลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความหลง ก็สั่งจิตให้คิด รักใคร่พอใจ เมื่อตาเห็นรูปที่สวย หูได้ยินเสียงอันไพเราะ เมื่อจมูกได้กลิ่นหอม เมื่อลิ้นได้ลิ้มรสอาหารที่อร่อย เมื่อกายสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน นุ่ม ก็เกิดอารมณ์รักใคร่ พอใจ แล้วยึดติดในสิ่งต่าง ๆ หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็เช่นเดียวกัน เมื่อพอใจรักใคร่ในสิ่งใดกิเลสความหลงก็จะใช้ให้จิตคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข จึงคิดไขว่คว้าหามาเป็นของตน นี่คือกิเลสความหลงเป็นนายของจิต

เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่ากิเลสทั้ง 3 อย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นนายของจิต คอยสั่งจิตให้แสดงออกมาทางวาจา ทางกาย ให้ทำตามอำนาจของกิเลสข้อใดข้อหนึ่งที่ครอบงำจิตในขณะนั้น


ปัญญาเป็นนายของจิต

ปัญญา คือ ความรอบรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามนุษย์ เกิดมามีแต่ความทุกข์ เพราะมีกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำจิต ผู้มีปัญญา ก็จะคอยระวังจิตไม่ให้เป็นทาสของกิเลส เช่น

เมื่อกิเลส ความโลภเกิดขึ้น ปัญญาก็จะเตือนจิตไม่ให้ลุ่มหลง มัวเมา กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ปัญญาชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ๆ มีความทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา ทุกอย่างไม่ใช่ของเราและไม่ใช่ของใคร เพราะเมื่อตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลย ควรแบ่งปันทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ให้ทานกับผู้ที่ควรให้ เมื่อจิตคิดได้ดังนี้แล้ว ความโลภก็จะคลายลงแล้วปัญญาก็จะนำคำสอนของพระพุทธองค์มาอบรมสั่งสอนจิตอยู่เสมอ ๆ ความทุกข์ที่เกิดจากความโลภ ก็จะหมดไปในที่สุด นี่คือปัญญา เป็นนายของจิตที่ถูกความโลภครอบงำ

เมื่อกิเลส ความโกรธเกิดขึ้น ปัญญาก็จะคอยอบรมสั่งสอนจิต ไม่ให้โกรธ เพราะเมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้วเป็นทุกข์และสามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง เช่น คิดอาฆาตพยาบาท ปองร้าย ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ปัญญาก็จะนำคำสอนของพระพุทธองค์มาอบรมสั่งสอนจิตให้เห็นโทษของความโกรธ ให้มีความรัก ความสงสารต่อผู้อื่น ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความโกรธจะลดลง และหมดไปในที่สุด นี่คือ ปัญญาเป็นนายของจิตที่ถูกความโกรธครอบงำ

เมื่อกิเลส ความหลงเกิดขึ้น จิตก็จะเกิดความพอใจรักใคร่ลุ่มหลงมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในรูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เพราะความหลงเข้าใจผิดว่าทุก ๆ อย่างทำให้มีความสุข ผู้มีปัญญา รู้ว่าจิตถูกกิเลสครอบงำแล้ว ก็จะใช้ความรู้จากคำสอนของพระพุทธองค์ที่ศึกษาและรู้ตาม นำมาสอนจิตให้คิดว่า สิ่งต่าง ๆ ที่จิตยึดมั่นถือมั่นนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เป็นความพอใจที่เกิดจากกิเลสความหลง แท้ที่จริงแล้วความสุขที่ได้รับนั้น มันเป็นความสุขที่อิงอามิส ซึ่งมีความทุกข์รวมอยู่ด้วย เราจะทุกข์กับสิ่งต่าง ๆ เพราะไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน แม้ตัวเราเองก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และจะต้องตายในที่สุด เมื่อจิตถูกปัญญาอบรมสั่งสอนให้เข้าใจ ว่ามีความรักสิ่งใด สิ่งนั้นต้องทำให้เกิดทุกข์ ก็จะคลายความทุกข์ลง และระวังไม่ให้กิเลสความหลงมาเป็นนายของจิตอีกต่อไป ความทุกข์ที่เกิดจากความหลงก็จะหมดไป
นี่คือปัญญาเป็นนายของจิตที่ถูกความหลงครอบงำ
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า พลังแห่งปัญญาเป็นนายของจิต และพลังแห่งกิเลสก็เป็นนายของจิต เช่นกัน ส่วนกายนั้นเป็นบ่าวของจิตจริง เพราะทำตามคำสั่งของจิตเสมอ ไม่ว่าจิตนั้นจะอยู่ภายใต้ อำนาจของปัญญา หรือกิเลสก็ตาม บางครั้งจะเห็นได้ว่าจิตอยู่เฉย ๆ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีความดีใจ หรือเสียใจ ที่เรียกว่าอุเบกขาอารมณ์ เพราะจิตในขณะนั้นไม่ถูกปัญญาหรือกิเลสครอบงำ

ขอทุกท่าน จงคิด พิจารณาว่า เมื่อเกิดมีสิ่งใดมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตจะคิดตามสิ่งที่มากระทบทันที ให้สำรวจดูว่าเรื่องที่จิตคิดในขณะนั้น เกิดจากอำนาจของกิเลสหรือปัญญา แท้ที่จริงแล้ว กิเลสและปัญญาต่างหากที่เป็นนายของจิตและกาย
...ที่มา...

30 September 2010

พรสวรรค์ คืออะไร

       คำว่าพรสวรรค์ ส่วนมากสังคมเค้าจะนิยมใช้เรียกคนที่มีความสามารถ เช่น เด็กที่สามารถเล่นดนตรีได้เก่งกว่าผู้ใหญ่ มีควาามจำที่ดีกว่าคนธรรมดา ฉลาดกว่าคนอื่นๆมากหรือเก่งเกินวัยอะไรประมานนั้น มันก็น่าแปลกว่าทำไมสวรรค์ถึงไม่ให้พรกับทุกคนนะ ^ ^
       แท้ที่จริงแล้วตัวเราเองต่างหากที่เป็นให้คนพรตัวเอง ก็คือเป็นเรื่องของกรรม กรรมมี 2 ลักษณะ คือ ทำความดีเรียกว่ากรรมดี ทำความชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว ผู้ที่ได้ทำความดีมามากกรรมก็จะส่งผลให้ได้ผลที่ดี อย่างเช่น เด็กที่สามารถเล่นดนตรีได้เก่งกว่าผู้ใหญ่ก็เนื่องมาจากอดีตเคยได้ให้วิชาความรู้ในด้านดนตรีเป็นวิทยาทานมามาก  คนที่มีความจำดีกว่าคนธรรมดาสามัญก็เนื่องมาจากอดีตเคยได้ฝึกสมาธิ มีสมาธิในการเรียน การทำงาน หรืออื่นๆมามาก เมื่อถึงปัจจุบันกรรมก็ส่งผลให้เป็นผู้ที่มีความจำดี
       ที่คนหรือสังคม เรียกว่า "พรสวรรค์" ก็เนื่องมาจาก ไม่ได้ศึกษาเรื่องของกรรม จึงไม่รู้ว่ามันมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุอะไรที่ทำแล้วได้ผลแบบนี้แบบนั้น ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ไม่เข้าใจเรื่องกรรม ก็เลยยกให้สวรรค์ไปว่าเป็นผู้ที่ให้พร ดังนี้แล

       จะขอกล่าวถึงเรื่องของกรรมเพิ่มเติมนะครับ  เรื่องของกรรมเป็นเรื่องของเหตุและผล  ถ้าเราไม่สร้างเหตุแล้วผลมันจะส่งมาได้อย่างไร ผู้ที่มีอยู่มีกิน มีฐานะ มีรูปร่างหน้าตาดี สุขภาพดีไม่มีโรค มีอายุที่ยืนยาว ก็เนื่องมาจากอดีตผู้นั้นเคย ให้ทาน ถือศีล ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก  ไม่เบียดเบียนสัตว์ ช่วยเหลือสัตว์
ตรงกันข้ามผู้ที่เป็นคนยากลำบาก จะกินเข้าไปยังไม่ค่อยจะมี  หน้าตาน่าเกลียด ยากจนข้นแค้น มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ อายุสั้น ก็เนื่องมาจากอดีตผู้นั้นไม่เคย ให้ทาน  ไม่นำศีลมาปฏิบัติ  ดูถูกเหยียดหยามคนจนไม่ช่วยเหลือเจือจุน เบียดเบียนชีวิตสัตว์น้อยใหญ่เขาเหล่านั่นจึงต้องมารับผลอย่างนี้แล

       สรุป ท่านทั้งหลายควรสร้างเหตุที่ดี  เพื่อจะรับผลที่ดีจากการกระทำของตัวท่านเอง ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควร  ถ้าทำความดีเกินกว่าที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ถ้าทำความดีมากกว่าจะเกิดบนสวรรค์สามารถกำจัดกิเลสให้หมดจากจิตได้ ก็จะเข้าสู่นิพพานไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

25 September 2010

ผู้ที่ไม่แต่งงาน จะตกนรก จริงหรือไม่

        ข้าพเจ้าว่าไม่จริง ไม่มีเหตุผลพอที่คนที่ไม่แต่งงานจะตกนรก เพราะไม่ได้ทำความชั่วใดๆ คำพูดที่ว่าใครไม่แต่งงานต้องตกนรก เป็นคำพูดของ พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มาตั้งแต่ในอดีต เพราะท่านเหล่านั้นต้องการให้ลูกหลานแต่งงาน ให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ มีพ่อ แม่ ลูก เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป และมีคนมาดูแลแทน ตายก็ตายตาหลับ เป็นเพราะพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มีปัญญาน้อย เห็นการมีคู่ครองว่าเป็นสุข ที่จริงแล้วการแต่งงานเหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะมีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น เมื่อแต่งงานแล้วต่างก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา สามีก็ว่าภรรยาเป็นของตน ภรรยาก็ว่าสามีเป็นของตน เกิดความหึงหวงกันขึ้นเป็นทุกข์กลัวสามีจะนอกใจ ฝ่ายสามีก็เป็นทุกข์กลัวภรรยาจะนอกใจเหมือนกัน...อ่านต่อ...

19 September 2010

ความสุข ความทุกข์ ความสบาย แตกต่างกันอย่างไร

ความทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ

ความทุกข์กาย หมายถึง ความไม่สบายกาย คือ ความเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ที่เกิดกับธาตุ ๔ และอาการ ๓๒ ที่ประกอบเป็นตัวตนของมนุษย์ทุกคน การเจ็บป่วยของร่างกาย มีทั้งอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน

- การเจ็บป่วยอวัยวะภายนอก คือ ความเจ็บป่วยที่ ศีรษะ แขน ขา ด้านหน้า ด้านหลัง เป็นต้น เช่น เกิดอุบัติเหตุ หัวแตก หูขาด ปากฉีก ฟันหัก แขน ขาหัก แขนขาด ขาขาด เป็นต้น นี้คือความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายนอกของร่างกาย

- การเจ็บป่วยอวัยวะภายใน คือ เจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเกี่ยวกับสมองโรคปอด โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น นี้คือความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในของร่างกาย ยังมีความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งผิดปกติจะเกิดทุกข์ขึ้นทันทีเช่น...อ่านต่อ...

09 September 2010

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

เกิดขึ้น หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้

ตั้งอยู่ หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ จะตั้งอยู่เป็นเวลานานเท่าใด ขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น 

ดับไป หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ ย่อมดับไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับอายุขัยของสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มี ๒ อย่าง คือรูปธรรม และนามธรรม

๑. รูปธรรม คือ สิ่งที่มองเห็น และจับต้องได้

๒. นามธรรม คือ สิ่งที่มองไม่เห็น และจับต้องไม่ได้ ไม่มีรูปแต่มีชื่อ ...อ่านต่อ...

วิธีสร้าง Batch file สำหรับรัน java

วิธีทำ jar file, วิธี export eclipse project java เพื่อทำ jar
ก่อนอื่นนะครับ ต้องไป export project java ให้ได้เป็น .jar มาก่อนตามนี้

  1. file > export... > java > jar file จากนั้น ให้เลือกตัว src หรือ folder อื่นๆที่ต้องการด้วย และทางด้านขวาไม่ต้องเลือก ต่อมาก็เลือกที่เก็บไฟล์ jar ที่
    select export destination เสร็จแล้ว Next > ไป 2 ครั้ง
  2. เสร็จแล้ว Browse เลือก main ของโปรเจค แล้วกด Finish เป็นอันเสร็จ
  3. ทำ batch file สำหรับขั้นตอนนี้ถ้ามี library ของคุณเองด้วยก็นำมาทำด้วยนะครับ
    ก่อนอื่นสร้าง folder ไว้ 1 folder เอาไฟล์ jar ที่ export มาใส่ไว้
    สร้าง folder ข้างในชื่อ lib ให้เอา library ของคุณมาใส่ไว้ในนี้
    สร้างไฟล์ text ขึ้นมาแก้ไขไปดังนี้
    set CLASSPATH=.;%CLASSPATH%
    java -cp "lib\ojdbc14.jar;project.jar" MainFrame
    pause
    


    ojdbc14.jar เป็น library ของผม ส่วน project.jar เป็นไฟล์ที่ได้จากการ export
    เสร็จแล้วจึง save เป็น "ชื่อไฟล์.bat" ห้ามมี enter ว่าง จากนั้นลองรันดูเลยครับ

    อย่าลืม set path java(ตัว jvm path) นะครับ ดูได้ที่นี่

    25 August 2010

    วิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์

    เห็น คือ (เห็นกิเลส)มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ว่าจิตเราถูกกิเลสครอบงำเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด

    คิด คือ คิดที่จะชำระกิเลสให้หมดไปจากจิตให้ได้

    ตั้งใจ คือ ตั้งใจมอบกายถวายชีวิต ตายก็ยอมเพื่อจะชำระกิเลสให้ได้

    พูด คือ ต้องมีศีลข้อ 4 มากำกับ เพื่อให้พูดแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น

    อาชีพ คือ เลี้ยงชีพด้วยความสุจริต ปัจจัย 4 ต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์

    งาน คือ งานที่ทำต้องไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดธรรม รับผิดชอบหน้าที่อย่างเต็มที่เต็มใจ ทุกอย่างที่ได้มาจากงานต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์เท่านั้น

    เพียร คือ (พยายาม + อดทน) ไม่ให้บาปเกิด ไม่ทำชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ละชั่วให้ได้ สร้างความดีสร้างปัญญาให้เกิดในสันดาน สุดท้ายคือรักษาความดีนั้นไว้ไม่ให้เสื่อม

    สติ คือ ต้องระลึกกอยู่ตลอดเวลา ระวังจิต ระวังอารมณ์ ไม่ให้กิเลสครอบงำ

    พิจารณาว่าจิตเศร้าหมองเพราะเหตุใด  ผ่องใสเพราะเหตุใด

    สำรวจ 8 อย่างนี้ทุกๆวัน ถ้าผิดพลาดอันใดก็ต้องพยายามตั้งใจใหม่อย่างจริงใจ และสุดท้ายต้องสมบรูณ์ซึ่ง 8 อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะถึงปลายทางเอย...ดูเพิ่ม...

    24 August 2010

    สี่คนหาม สามคนแห่ คนเดียวนั่งแคร่ สองคนพาไป

    สี่คนหาม หมายถึง ตัวเราที่ประกอบไปด้วย ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    ธาตุดิน หมายถึงหนัง ขน เล็บ กระดูก เนื้อ หัวใจ ตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ เป็นต้น
    ธาตุน้ำ หมายถึงน้ำตา น้ำลาย น้ำเหลือง น้ำเลือด เป็นต้น
    ธาตุลม หมายถึงลมหายใจ และลมเข้า ออกทุกทวาร
    ธาตุไฟ หมายถึงความร้อนในร่างกาย

    เราจะมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะธาตุทั้ง ๔ ถ้าขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง เราก็จะไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ ต้องตาย เช่น ขาดธาตุดิน ไม่มีหนัง ขน เล็บ กระดูก เนื้อ หัวใจ ตับไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ เป็นต้น ก็ต้องตายเช่นกัน ขาดธาตุน้ำ ไม่มีน้ำเลือด น้ำเหลือง และน้ำอื่น ๆ หล่อเลี้ยงร่างกาย ก็ต้องตาย ขาดธาตุลม ไม่มีลมหายใจเข้าออก ก็ต้องตาย ขาดธาตุไฟ ร่างกาย จะขาดความร้อน ความอบอุ่น ร่างกายก็จะเย็นและตายในที่สุด

    เพราะฉะนั้น คำว่า สี่คนหาม หมายถึง ธาตุทั้ง ๔ ที่หามร่างกายเราไว้ให้มีชีวิตอยู่ประกอบขึ้นเป็นตัวตน บุคคล และเคลื่อนไหวได้ ดังที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ นี่คือ ความหมายของคำว่า “ สี่คนหาม ” ...อ่านต่อ...

    14 August 2010

    ปัจจัย ๔ รูปธรรม และ ปัจจัย ๔ นามธรรม

    สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์ คือ ปัจจัย ๔ มีดังนี้
    ๑) อาหาร
    ๒) เครื่องนุ่งห่ม
    ๓) ที่อยู่อาศัย
    ๔) ยารักษาโรค

    สิ่งที่สำคัญที่สุดในจิตใจของมนุษย์ มีปัจจัย ๔ อย่าง ดังนี้
    ๑). อาหารของจิตใจ
    ๒). เครื่องนุ่งห่มของจิตใจ
    ๓). ที่อยู่อาศัยของจิตใจ
    ๔). ยารักษาโรคของจิตใจ

            ๑) อาหาร หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์ นำมาเลี้ยงร่างกายประจำวัน ตั้งแต่ เกิดจนตาย เช่น ข้าว น้ำ เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น แล้วแต่ผู้ใดจะนำสิ่งใดมาเลี้ยงร่างกาย ตามฐานะความเป็นอยู่ของแต่ละบุคคล เพราะร่างกายของมนุษย์จะขาดอาหารไม่ได้ ถ้าขาดอาหารก็ต้องตายในที่สุด อาหารจึงเป็นมีความสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ...อ่านต่อ...

    10 August 2010

    คุณธรรม และ จริยธรรม หมายความว่าอย่างไร

    คุณธรรม และ จริยธรรม หมายความว่าอย่างไร

    ๑. คุณธรรม
    คุณธรรม เป็นนามธรรมเป็นเรื่องของจิตที่มีหน้าที่คิด ตามสิ่งต่างๆที่มากระทบ เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ใจเป็นทุกข์ เป็นสุข ทำให้คิดถึงอดีต ปัจจุบันและอนาคต วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดไป เพราะเป็นธรรมชาติของจิตที่มีหน้าที่คิด

    คุณ ในข้อนี้ หมายถึง ความคิดที่ดีมีประโยชน์ ต่อตนเองและผู้อื่น

    ธรรม ในข้อนี้ หมายถึง คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสสอนตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาแล้ว กับมวลมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันในโลกนี้

    คุณธรรม หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์ ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์มีชีวิต จิตใจ มีสติ ปัญญา มีความรู้สึกนึกคิดที่ดีกันทุกคน หรือที่เรียกว่า “ คิดดี ” ส่วนจะมีมากหรือมีน้อยแตกต่างกันไป

    ๒. จริยธรรม
    จริยธรรม เป็นรูปธรรม เป็นเรื่องของการแสดงออกทางกาย ทางวาจา

    จริย หมายถึง การแสดงออกทางกาย ทางวาจา ของมนุษย์

    ธรรม ในข้อนี้หมายถึง ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีกาย วาจา เป็นสื่อภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน

    จริยธรรม หมายถึงการแสดงออกทางกาย ทางวาจา
    การแสดงออกทางกาย คือ ทำแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น รวมทั้งประเทศชาติบ้านเมือง เรียกว่า “ ทำดี ...อ่านต่อ...

    09 August 2010

    ศาสนาคืออะไร

    ศาสนา คืออะไร
    ศาสนา มีไว้เพื่ออะไร 
    หลักคำสอน พระพุทธศาสนา มีอะไรบ้าง

    ๑. ศาสนา คืออะไร ศาสนาคือคำสอนขององค์พระศาสดาแต่ละพระองค์ เช่น
        - ศาสนาคริสต์ คือ คำสอนของพระเยซูเจ้า
        - ศาสนาอิสลาม คือ คำสอนของพระอัลลอฮ์ มีศาสดาชื่อมุฮัมมัด นับถือพระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลอฮ์
        - ศาสนาพุทธ คือ คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
        - ศาสนาอื่น ๆ ก็คือ คำสอนขององค์ศาสดาแต่ละพระองค์ตามศาสนาหรือลัทธิความเชื่อของศาสนานั้น ๆ

    ๒. ศาสนามีไว้เพื่ออะไร

        - ศาสนาทุกศาสนามีไว้เพื่อสอนให้มนุษย์ละชั่วประพฤติดี
        - ศาสนาพุทธหรือพระพุทธศาสนา มีไว้เพื่อสอนให้มนุษย์ละเว้นการประพฤติชั่ว ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้ประพฤติแต่ความดี ด้วยกาย วาจา ใจ และชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ จากกิเลสทั้งสามอย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ครอบงำจิตใจให้หมดสิ้นไป

    ๓. หลักคำสอนของพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง หลักคำสอนของพระพุทธศาสนา มีไว้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตาม โดยแบ่งลำดับขั้นจากระดับต้นถึงระดับสูง ดังนี้
    - ทาน
    - ศีล
    - สมาธิ
    - ปัญญา
    ทาน คือ การให้ แบ่งได้ ๔ ประเภท ดังนี้
      ๑) อามิสทาน
      ๒) วิทยาทาน
      ๓) อภัยทาน
      ๔) ธรรมทาน
     ...อ่านต่อ...

    08 August 2010

    [java]วิธีเปลี่ยน Icon (how to change icon JFrame,JDialog,JInternalFrame)

    วันนี้จะนำเสนอการเปลี่ยน icon ที่ทำเผินๆแล้วเหมือนจะเปลี่ยนได้โดยง่าย ของอย่างนี้มีทริปนิดนึงครับ ทริปที่ว่านี้คือใช้ Toolkit ของจาวา ครับ

    การ set Icon ของ JFrame
    import java.awt.Toolkit;
    
    frame.setIconImage(Toolkit.getDefaultToolkit().getImage("icon/frame.gif")); 
    

    การ set Icon ของ JDialog
    import java.awt.Toolkit;
    
    dialog.setIconImage(Toolkit.getDefaultToolkit().getImage("icon/table.gif"));
    

    การ set Icon ของ InternalFrame
    //อันนี้ ธรรมดาเลยครับ
    internalframe.setFrameIcon(new ImageIcon("icon/table.gif"));
    

    02 August 2010

    [java] การใช้ Labeled continue ใน for loop

    Java ยอมให้มีการใช้ label ในการหยุดและเริ่มการประมวลผลใหม่ ซึ่งโปรแกรมเมอร์หลาย ๆ ท่านไม่
    ค่อยจะเห็นด้วยกับการใช้การประมวลผลในลักษณะนี้เท่าใดนัก เรามาดูตัวอย่างกัน
    /* LabledContinue.java */
    import java.io.*;
    class LabeledContinue {
    public static void main(String[] args) {
        label: for(int row = 1; row <= 10; row++) {
                   System.out.println();
                    for(int column = 1; column <= 10; column++) {
                        if(column > row)
                          continue label; //goto label
                        System.out.print("*");
                     }
                   }
       }
    }
    

    เราได้ดัดแปลงโปรแกรม Continue.java ของเราสำหรับการแสดงการใช้ labeled continue ในโปรแกรม LabeledContinue.java เรากำหนดให้มี identifier ที่มีชื่อว่า label อยู่ก่อนหน้า for loop ด้านนอกของเรา ซึ่งต้องมีเครื่องหมาย ':' ตามหลังเสมอ และในการใช้ continue ใน for loop ด้านในนั้นเราจะต้องมี identifier ที่เราใช้ตามหลัง continue เสมอ การประมวลด้วย labeled continue ก็ไม่ยากนักที่จะทำความเข้าใจ เมื่อค่าของ column มากกว่าค่าของ row การทำงานใน for loop ด้านในก็สิ้นสุดลงและไปเริ่มต้นใหม่ที่ for loop ด้านนอก เพราะนั่นเป็นที่ที่มี label อยู่ การทำงานแบบนี้ก็เหมือนกับการกระโดดไปยังตำแหน่งที่เราต้องการจะไปนั่นเอง ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เราได้ตั้งไว้

    [แจก]หนังสือจาวา (java book,e-book)

    สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษา มีทั้งไทยและอังกฤษ ...Download...

    ประเพณีงานศพที่ถูกต้อง

    เหตุใดจึงต้องเผาศพ

          เรื่อง นี้ทำกันมานานจนเป็นประเพณี ที่จริงแล้วการเผาศพก็เพื่อให้ศพนั้นสูญสิ้นไป มิให้ซากศพเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะมนุษย์จะต้องตายทุกคน ถ้าเราต้องเก็บศพไว้ สถานที่สำหรับเก็บศพก็ต้องใช้พื้นที่กว้างขวาง แทนที่จะใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์อย่างอื่น การ เผาศพยังเป็นอุบายให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสทำบุญทำกุศล ด้วยการให้ทาน ฟังธรรมจากพระสงฆ์ที่มาแสดงธรรม เพื่อให้รู้ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บและต้องตาย เช่นเดียวกันกับ ผู้ที่กำลังนอนอยู่ในโลงศพ และที่สำคัญทุกอย่างเป็น อนัตตา แม้แต่ร่างกายที่เป็นตัวเป็นตน ประกอบธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ก็ยังต้องดับสูญสิ้นไป ไม่มีอะไรเหลือ เป็นการสอนให้มนุษย์ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ชำระกิเลส ตัณหา ราคะ ให้ลดน้อย และหมดไปในที่สุด

          ที่จริงเจตนาของพระพุทธเจ้า ประสงค์จะสอนให้มนุษย์รู้ตัวว่า ทุกชีวิตต้องตาย เมื่อตายแล้วก็ควรต้องเผา ถึงแม้ว่าจะนำไปฝังไว้ ก็ ไม่มีประโยชน์อะไร กายที่ปราศจากวิญญาณ ทำดีก็ไม่ได้ ทำชั่วก็ไม่ได้ หากเก็บไว้ก็จะเกิดความกังวล ห่วงใยของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น เกิดการเข้าใจผิดว่าผู้ที่อยู่ในหลุมศพยังมีวิญญาณ จึงห่วงใย มีกังวล ผู้เป็นลูก เมื่อพ่อแม่ตาย ถ้า ไม่เผาเราก็ต้องนึกถึงตลอดเวลาว่า พ่อแม่ของเรายังอยู่ที่นั่น อาจนำข้าวปลาอาหารไปวางไว้หน้าหลุมศพ ซึ่งก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร แต่มนุษย์ยึดถือการบูชาเป็นที่ตั้ง การบูชานั้น เราจะต้องใช้ปัญญา เช่นเดียวกัน...อ่านต่อ...

    31 July 2010

    ความจริงที่อยากให้รู้

    วันนี้ผมลงมือเขียนบทความนี้เอง จากที่ผมนั้นได้ยิน ได้ฟังมา ได้พิจารณาและเห็นจริงตามที่ท่านผู้นั้นได้ว่าไว้จริง จึงจะนำมาเล่าดังนี้ ความมีอยู่ว่า...
           "ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เกิดมากี่ 1,000 กี่ 10,000ชาติ มนุษย์ก็ทนรับได้ และจะรับต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่มีสิ่งนึงที่มนุษย์ทนไม่ได้ ก็คือ ทนที่จะขัดใจ ขัดกับความต้องการของตัวเองไม่ได้"

    [ขยายความ]
    เช่น อยากจะรวย อยากจะสวย กระเสือก กระสน ด้นรน ทนทุกข์เท่าไหร่ข้าก็ยอม
    อยากมีรถยนต์ บ้านช่องหรูหรา ให้ทัดเทียมกับผู้อื่น เพื่อจะให้ได้มาทนทุกข์เท่าไหร่ข้าก็ยอม
    อยากได้สามี/ภรรยา เหมือนอย่างคนอื่นเขา เพื่อจะให้ได้มาทนทุกข์เท่าไหร่ข้าก็ยอม
    อยากเที่ยว กินเหล้า ขาดสติ รู้ทั้งรู้ว่าเสี่ยงอันตรายต่างๆเท่าไหร่ข้าก็ยอม
    โกรธ อยากด่า อยากทำร้าย  ฆ่าแกงกัน ถึงข้าจะติดคุก เกิดบาปกับตัวข้าก็ยอม อย่างนี้เป็นต้น

    พระพุทธเจ้าท่านสอน เพราะอะไรที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ต่างๆ ก็ให้หยุดเหตุนั้น ยอมขัดใจตัวเอง พอใจในสิ่งที่มี ที่ได้ ที่เป็น มีความสันโดดเป็นสันดาน ความทุกข์กับสิ่งนั้นก็จะไม่มี

    ความสุข มันคู่กับ ความทุกข์ ถ้าไม่ลุ่มหลง มัวเมา รักใคร่ พอใจกับสิ่งต่างๆที่เป็นเหตุให้เกิดสุข..ฉันใด..  ความทุกข์ที่จะตามมามันก็ไม่มี ฉันนั้น

    ขอให้พบกับความพอเพียง ที่เหมาะสมกับตัวท่านนะครับ

    30 July 2010

    มีสิ่งใด สิ่งนั้นก็เสื่อม

        คำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนไว้ว่า มีทางโลก ๔ อย่าง ทางธรรม ๔ อย่าง เรียกว่า โลกธรรม ๘

    ทางโลก ๔ อย่าง คือ
    ๑) มีลาภ
    ๒) มียศ
    ๓) มีสรรเสริญ
    ๔) มีสุข

    ทางธรรม ๔ อย่าง คือ
    ๑) เสื่อมลาภ
    ๒) เสื่อมยศ
    ๓) มีนินทา
    ๔) มีทุกข์

         คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๘ อย่าง แต่ปัจจุบันมนุษย์สนใจเพียง ๔ อย่าง คือ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีสุข แต่ไม่สนใจอีก ๔ อย่าง คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ มีนินทา มีทุกข์ จะมีชาวพุทธสักกี่คน ที่เข้าใจในคำสอนบทนี้ แล้วนำมาปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง มีลาภ เสื่อมลาภ มีลาภ หมายความว่า เมื่อมีหรือได้ทรัพย์สมบัติใด ๆ มาเป็นของตน คน ส่วนใหญ่จะลุ่มหลงมัวเมา ยึดมั่นถือมั่น คิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ เหนือผู้อื่น ดูถูกเหยียดหยามผู้ที่มีทรัพย์น้อยกว่า ลืมความเสื่อมลาภที่จะเกิดขึ้น กับทรัพย์สมบัติ และความตายที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่เข้าใจในคำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายความว่าอย่างไร

    อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แม้ร่างกายของเรา

    ทุกขัง คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ใครยึดมั่นถือมั่น กับสิ่งใดในโลกนี้ว่าเป็นของตน สิ่งเหล่านั้นก็จะทำให้เกิดทุกข์ รวมทั้งร่างกายของเรา

    อนัตตา คือความสูญสลาย เมื่อตัวเราตาย ร่างกายก็จะกลายเป็นธาตุดินในที่สุด...อ่านต่อ...

    29 July 2010

    อุปมาธรรมมะ(ต้นไม้)

    ต้นไม้ ต้นใด ที่ชาวสวนปลูกไว้ มีผลดก สมบรูณ์ รสหวาน ราคาแพง เป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์สิน เงินทองและความสุข ให้แก่ชาวสวน ฉันใด พ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนดี มีความกตัญญู กตเวทีอยู่ในสันดาน ย่อมสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจมาให้แก่ พ่อแม่ ฉันนั้น

    28 July 2010

    อุปมาธรรมมะ(เทียน)

    ผู้ใดถือเทียนอยู่ในมือ ไม่ทำการจุดขึ้นย่อมไม่พบแสงสว่าง...ฉันใด... ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้วไม่ปฏิบัติตามคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมไม่เกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม...ฉันนั้น...

    26 July 2010

    ความเห็นแก่ตัว กับ การรักตัวเอง

    ความเห็นแก่ตัว หมายถึง คนที่ตกเป็นทาสของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง หาความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

    การรักตัวเอง หมายถึง การรักษา กาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง

    ความเป็นจริง มนุษย์ที่เกิดมามีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำจิตมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติ ส่งผลให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน ดังที่มนุษย์เกิดมาเมื่อวัยเด็ก จะแสดงกิเลสออกมาให้เราเห็น เช่น ความหลง จะเห็นได้ว่าเด็กจะยึดมั่นถือมั่น ติดพ่อแม่ ไม่ยอมให้ใครอุ้มนอกจากพ่อแม่ หรือบางครั้งเด็ร้อง อยากได้สิ่งของต่าง ๆ เป็นเพราะเด็กมีความโลภ เมื่อได้มาแล้วก็เกิดความหวงแหน และอยากได้สิ่งของอื่นๆ อีกไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าไม่ได้ดังใจก็จะเกิดความโกรธ ร้องไห้งอแงดิ้นทุรนทุราย นี่คือ อาการของเด็กที่มีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบ งำจิตมาตั้งแต่เกิด เป็นการแสดงออกถึงความเห็นแก่ตัว โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากลำบากของพ่อแม่ แต่ด้วยความรักที่มีต่อลูก พ่อแม่ก็ตามใจลูกทุกอย่าง ไม่ว่าลูกจะต้องการสิ่งใด ก็หามาให้ โดยไม่คำนึงถึงว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด อีกทั้งไม่เคยชี้แจงแสดงเหตุผลให้ลูกเข้าใจถึงความจำเป็นหรือไม่ กับสิ่งที่ลูกต้องการ ถือว่าเป็นการสนับสนุน กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของลูกให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมซึ่งจะเห็นว่า เด็กที่ถูกพ่อแม่ตามใจส่วนมาก จะประพฤติตนไม่ดี ไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้ดี ดังที่เราได้พบเห็นกันในปัจจุบัน...อ่านต่อ...

    19 July 2010

    ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป หมายความว่าอย่างไร

    ๑. หิริ คือ ความละอายต่อบาป

    ๒. โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาป

    หิริ แปลว่า ความละอายใจต่อบาป ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น ไม่กล้าทำความชั่วใดๆ จะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เพราะมีความละอายใจต่อบาป ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง รู้ว่าบาป คือความทุกข์กาย ทุกข์ใจ เกิดจากการทำความชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจของตนเอง

    ผู้ที่มีหิริ จึงคิดดี พูดดี ทำดีเสมอ เพราะมีคุณธรรม คือ หิริ คุ้มครองจิตใจ เขาจึงเป็นคนดี ผู้ที่ไม่มีหิริ คือ ความไม่ละอายต่อบาป จะทำความชั่วได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม บางคนทำความชั่วลับหลัง แต่ต่อหน้าไม่กล้าทำ เพราะอายคนจะรู้ จะเห็น มิใช่ละอายต่อบาป เขาเป็นคนชั่ว เพราะไม่มีธรรมประจำใจ

    โอตตัปปะ แปลว่า ความเกรงกลัวต่อบาป
    เกรงกลัว หมายถึง กลัวโทษที่จะเกิดขึ้นจากการทำความชั่ว ผู้ที่มีโอตตัปปะ คือผู้ที่เชื่อ และเข้าใจในกฎแห่งกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จะทำความดีด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี หรือจะทำความชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ก็ตาม รู้ว่ากรรมดี กรรมชั่ว จะส่งผล ให้กับผู้ประกอบกรรมนั้นได้รับในชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป

    ผู้ที่มีโอตตัปปะจะไม่ทำความชั่ว เพราะกลัวบาป คือโทษและความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง จึงพยายามคิดดี พูดดี ทำดี อยู่เสมอ มีปัญญารักษาตัวให้พ้นภัย ผู้ที่ไม่มีโอตตัปปะ เขาจะไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เขาจึงไม่เกรงกลัวต่อบาป สามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง เพราะเขาไม่มีหิริ โอตตัปปะ ไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ตลอดชีวิตจะมีแต่ความทุกข์ เพราะเขาไม่มีคุณธรรมทั้งสองประการนี้คุ้มครองจิตใจ...อ่านต่อ...

    11 July 2010

    มนุษย์ เป็นโรค ๔ อย่าง

    มนุษย์เป็นโรค ๔ อย่าง คือ

         (๑) โรค บ้า

         (๒) โรค ใบ้

         (๓) โรค ตาบอด

         (๔) โรค หูหนวก




    ๑. โรคเป็นบ้า

    เป็นโรคบ้า ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่บ้าโลภ บ้าโกรธ บ้าความหลง เพราะมีกิเลสครอบงำจิตใจอย่างหนาแน่น ลุ่มหลงมัวเมาใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มัวเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เป็นต้นว่า

    บ้าเพราะความโลภ เช่นบ้าทรัพย์สมบัติ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอใจ พยายามคิดหาวิธีที่จะหาทรัพย์นั้นมาเพิ่มอีก จะผิดกฎหมาย ผิด ครรลองคลองธรรม จะโดยวิธีสุจริตก็ตาม พยายามดิ้นรน กระวนกระวาย ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพียงใด เพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติ สิ่งของที่ตนต้องการ เช่น มีบ้านอยู่หลังเดียวก็อยากได้เพิ่มอีกเป็น ๒ หลัง ๓ หลัง มีรถยนต์ ๑ คัน ก็อยากได้เพิ่มเป็น ๒ คัน ๓ คัน มีทองอยู่ ๕ บาท ๑๐ บาท ก็ อยากได้เพิ่มเป็น ๑๐๐, ๒๐๐ บาท เป็นต้น มีความโลภอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด จะทุกข์ยากลำบากอย่างไรก็ยอม ผู้ที่มีสมบัติมาก มายอยู่แล้วก็ไม่พอใจ มีความโลภมาก ไม่ว่าจะได้มาโดยวิธีผิดกฎหมาย หรือผิดครรลองคลองธรรม เช่นการทุจริตคดโกง หลอกลวง ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ เพื่อให้ได้ทรัพย์สินตามที่ต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วกับมนุษย์ทั่วไป นี่คือความ โลภทำให้เป็นโรคบ้า...อ่านต่อ...

    09 July 2010

    การใช้งาน subversion กับ eclipse (ต่อ)

    บทความที่แล้วผมได้อธิบายขั้นตอนการติดตั้งและการสร้างโปรเจคไว้บ้างแล้ว วันนี้ผมจะมาแนะนำการใช้งานเพิ่มเติม เช่น การ commit, update, lock, unlock,revert, compare with, replace with เป็นต้น

    เมื่อเรา คลิกขวาที่โปรเจค จะมีเมนูที่มีให้ใช้เพิ่มขึ้นมาจากเดิมได้แก่ Team, Compare with.., Replace with.. ในเมนูที่เพิ่มมานี้ก็จะแยกย่อยออกไปอีกมากมาย..

    Team


    Compare with


    Replace with


    ข้อสังเกตุ
    ถ้าไฟล์ถูกบันทึก ยังไม่ถูกบันทึก หรือไฟล์ที่ถูกแก้ไข ไอคอน จะแตกต่างกัน


    ไฟลที่บันทึกแล้ว


    ไฟลที่ถูกแก้ไข


    ไฟล์ที่ยังไม่บันทึก

    ส่วนตัวเลขที่ต่อท้ายชื่อเป็นเลขที่บอกว่า ไฟล์หรือโปรเจคนี้ เป็น version เท่าไหร่
    โปรเจคนี้ผม commit ไป 2 ครั้งแล้ว มันก็จะมีเลขบอกเราด้วย..

    ตัวเลขบอก version


    ผมจะแนะนำการใช้งานบางตัวที่ใช้บ่อยๆนะครับ ส่วนที่เหลือไปลองเล่นกันดูไม่ยากครับ

    • commit คือ การอัพโหลดไปเก็บที่ server
      ถ้าไฟล์หรือโปรเจคที่เราปรับปรุงแล้ว ต้องการจะอัพโหลดขึ้นไปบน svn server ก็ให้ใช้เมนู commit
      อยาก commit เฉพาะไฟล์ หรือจะ commit ทั้งโปรเจคเลยก็ได้
      ก็ คลิกขวา เลือก Team > Commit




      กรอก comment ว่าเราทำอะไรกับไฟล์หรือโปจเจคนี้ไป จากนั้นกด OK แล้วจะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมาก็กด Trust Anyway เป็นอันเสร็จ
    • update คือ ถ้าหากมีนักพัฒนาหลายคน แก้ไขและได้ commit ไฟล์ไป เมื่อเราอัพเดทก็จะได้ไฟล์ที่เป็น version ล่าสุดมา
      คลิกขวา ที่โปรเจค เลือก Team > Update

    • revert คือ การย้อนกลับ เราสามารถเลือก version ที่จะย้อนกลับได้
      คลิกขวา ที่โปรเจค เลือก Replace with > Revision or URL




      เลือก Revision กด Browse..


      ก็เลือก version ที่จะย้อนกลับมาได้ตามสบายเลย กด OK ก็เรียบร้อย
      ลองเล่นดูนะครับ ผมไม่มีเวลาทำให้ได้ทั้งหมด ถ้าสงสัยก็ถามทิ้งคำถามเอาไว้นะครับ ถ้าผมมีความรู้พอที่จะตอบได้ก็จะตอบครับ
      หรือถ้าไม่เข้าใจอยากถามจริงๆ ได้ที่ elung.cpe@gmail.com ครับ
      หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณ

      08 July 2010

      คิดอย่างไรจึงไม่เกิดทุกข์

      คำว่า “ทุกข์” คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ

               มนุษย์มีความ ทุกข์ตั้งแต่แรกเกิด เมื่อเกิดมาแล้ว ก็มีเสียงร้อง บ่งบอกถึงความทุกข์ 

      เพราะหิว เพราะหนาว เพราะร้อน มีความไม่สบายกายเกิดขึ้น จำเป็นที่ผู้เป็นแม่ต้องหาผ้ามาห่ม หานมมาให้กิน ต่อจากนั้นทุกข์ ก็เกิดขึ้นตามลำดับ พ่อแม่ก็มีความเป็นทุกข์ใจ จำเป็นต้องหาอาหาร หาเครื่องนุ่งห่ม หาที่อยู่อาศัย หายารักษาโรคให้ลูก ส่วนเด็ก ที่เกิดมาก็จะเป็นทุกข์ตามลำดับ เช่น ทุกข์เพราะหิว ทุกข์เพราะอิ่ม ทุกเพราะต้องขับถ่าย ทุกข์เพราะร้อน เพราะหนาว ทุกข์เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์เพราะเรื่องการเรียน ทุกข์เพราะเรื่องงาน ทุกข์เพราะอยากมีคู่ครอง นี้คือความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับมวลมนุษย์เป็นประจำ ดังที่ทุกคนได้รับความทุกข์เหล่านั้นกันอยู่แล้ว...อ่านต่อ...

      01 July 2010

      คุณธรรม ๕ ประการ สนับสนุนความสำเร็จ

      1. ปัญญา คือ ความรอบรู้ รู้ทั้งทางโลกและทางธรรม
      2. ความตั้งใจมั่น หมายถึงความจริงใจ จริงจัง และต่อเนื่องในการกระทำสิ่งนั้นๆ 
      3. สติ สัมปชัญญะ หมายถึง ความระลึกได้ และรู้ตัวว่าเรา กำลังทำสิ่งนั้นอยู่ 
      4. ความเพียร หมายถึงความขยันกระทำสิ่งนั้นๆ จนกว่าจะสำเร็จ
      5. ความอดทน หมายถึงการอดทนต่อความเหนื่อยยาก ลำบากกาย ลำบากใจ ในการกระทำสิ่งนั้นๆ

      คุณธรรม ข้อที่ ๑. ปัญญา

      คนที่มีปัญญาจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ครูสอนหนังสือข้างถนน ที่พยายามสอนเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา เพื่อเด็กเร่ร่อนข้างถนน หรือในสลัมได้มีโอกาสในการดำรงชีวิตอย่างถูกต้อง แสดงว่าครูที่สอนมีคุณธรรม ดังนี้ มีปัญญา

      ครูเหล่านั้นมีความรู้ทางด้านวิชาการ และมีปัญญารู้ต่อว่า ถ้าได้ช่วยสอนหนังสือ เด็กเร่ร่อน เด็กด้อยโอกาสเหล่านี้ จะเกิดประโยชน์กับเด็กทุก ๆ คน คือทำให้เด็กมีความรู้ มีอนาคต ส่งผลดีให้แก่
      สังคม ประเทศชาติ บ้านเมือง เมื่อรู้ดังนี้แล้ว จึงเกิดความตั้งใจมั่น ซึ่งเป็นธรรมข้อที่ ๒


      คุณธรรมข้อที่ ๒. ความตั้งใจมั่น 

      เกิดการกระทำด้วยความจริงใจจริงจังและต่อเนื่อง ในการสอนเด็กเร่ร่อน เด็กด้อยโอกาสข้างถนนหรือในสลัม โดยใช้สติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นธรรมข้อที่ ๓...อ่านต่อ...

      29 June 2010

      ทำความดี เพื่ออะไร

      การทำความดี เพื่อให้ความดีเกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่ทำความดีเพื่อให้คนอื่นว่าเราเป็นคนดี เป็นต้นว่า เราทำความดีคนอื่นจะว่าเราเป็นคนชั่วก็ไม่ได้ ถ้าเราทำความชั่วคนอื่นว่าเราเป็นคนดี เราก็เป็นคนดีไม่ได้ เช่นเดียวกัน เราจะเป็นคนดีได้ก็ต่อเมื่อ คิดดี พูดดี ทำดี เท่านั้น
      คิดดี การที่เราคิดจะบริจาคทรัพย์สินเงินทอง เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก เรา คิดจะนำศีลมารักษากาย วาจา หรือคิดจะเจริญสมาธิเพื่อให้จิตสงบ ซึ่งความคิดเช่นนี้ เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ทำให้เกิดความสบายใจ ถือว่าเป็น ความคิดที่ดี

      พูดดี ถ้าเราพูดแนะนำชักชวนให้ผู้อื่น ละชั่วประพฤติดี เช่นแนะนำให้บริจาคทรัพย์สินเงินทอง เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก ชักชวนให้นำศีลมารักษากาย วาจา ให้สะอาดปราศจากความชั่ว ชักชวนให้เจริญสมาธิกรรมฐานเพื่อให้จิตสงบ ซึ่งคำพูดเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ถือได้ว่าเป็น การพูดดี

      ทำดี การทำความดีทางกาย เช่นนำจตุปัจจัยไทยทาน ถวายแด่พระภิกษุ สามเณร หรือนำทรัพย์สินเงินทองบริจาคแก่ผู้ที่ด้อยโอกาส ผู้ ยากจน การไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรมนำศีลมารักษากาย วาจา นำกายไปเจริญสมาธิกรรมฐาน หรือนำกายไปช่วยเหลือสาธารณประโยชน์อื่น ๆ ถือว่าเป็นการทำความดีทางกาย วาจา ใจ เพื่อให้ตัวเราเป็นคนดี ซึ่งการกระทำดังกล่าวมาแล้ว เรียกว่า คิดดี พูดดี ทำดี แม้คนอื่นจะว่าเราเป็นคนชั่ว เราก็เป็นคนชั่วไม่ได้

      เพราะฉะนั้น การทำความดีเพื่อ ให้เราเป็นคนดี เราจะชั่วหรือจะดีขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวาจาของผู้อื่น ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนไว้ว่า ไม่ให้ยึดติดในคำสรรเสริญ หรือนินทา ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ...บทความอื่นๆ...

      28 June 2010

      ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จริงหรือ

      ทำดีได้ดี การ ทำความดี หมายถึงการกระทำที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง ถูกต้องตามจารีตประเพณี เช่นกรณีข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครู นักปกครอง และพระสงฆ์ เป็นต้น ต้องปฏิบัติในหน้าที่ของตน ตามที่ได้รับมอบหมาย อยู่ในระเบียบวินัย จรรยา บรรณของข้าราชการฝ่ายนั้น ๆ มีความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐานของจิต ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตามครรลองคลองธรรม กฎหมายบ้านเมือง จารีตประเพณี เช่นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นข้าราชการดีเด่น คือผู้ที่ได้ทำความดีในหน้าที่ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริตคดโกง มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม บริการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ประชาชน ประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัย และครรลองคลองธรรม รักษาจารีตประเพณีไว้เป็นอย่างดี จึงได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นคนดีของสังคม...อ่านต่อ...

      26 June 2010

      การใช้ Subversion กับ eclipse-galileo ด้วย google code (step-by-step)

      Subversion คืออะไร
      Subversion คือ การควบคุมเวอร์ชัน ในที่นี้ก็คือจะใช้กับ source code ของเราที่เอาไปฝากไว้บน server ของ Subversion ผู้ที่ให้บริการ svn server ก็มีอยู่หลายเจ้า เช่น GoogleCode เป็นต้น ...เพิ่มเติม...
      สำหรับ Delveloper หรือนักพัฒนาโปรแกรมที่เป็นทีม แล้วอยู่คนละที่ทำงานใน code เดียวกันจะสะดวกมากๆครับ
      การใช้งาน svn ก็มีหลายแบบ ใช้แบบ svn command หรือใช้ร่วมกับโปรแกรม เช่น eclipse, net bean , Visual Studio, โปรแกรมเหล่านี้ได้ทำให้เราสะดวกขึ้นมาก จะขอกล่าวถึงข้อดีคร่าวๆดังนี้

      • ข้อดี
      1. เปรียบเทียบความแตกต่างของ code
      2. Reversion กลับได้
      3. หลายคนใช้ code ในเวลาเดียวกันได้
      4. และอื่นๆอีกมากมาย

      • การติดตั้ง Subversion ใน windows
      การที่จะใช้งานเราก็ต้องติดตั้ง subversion client ในเครื่องจึงจะสามารถใช้งานได้ ในการแนะนำการใช้งานครั้งนี้จะติดตั้งบน windows ดูกันต่อเลย..

      เมื่อ Download มาแล้วก็ติดตั้งเลย กด next อย่างเดียว.
      เราสามารถใช้เป็นแบบ command-line ได้ด้วยนะครับ

      • การติดตั้ง eclipse-galileo เพื่อใช้งาน subversion
      ในตัวอย่างนี้จะใช้ eclipse-galileo ก่อนจะใช้งาน eclipse ต้องติดตั้ง JDK ก่อนนะครับ
      ...Download JDK...
      ...Download eclipse-galileo(sdk-3.5.2-win32.zip )...

      ติดตั้งเสร็จแล้ว
      • วิธีที่ทำให้ eclipse-galileo ใช้งาน SVN ได้
      1. eclipse > Help > Install New Software..
      2. ในช่อง work with : ให้เลือก site ของ Galileo จากนั้นรอซักครู่จะมีให้เลือกติดตั้ง
      3. เลือก Collaboration >เลือก SVN ทั้ง 2 Integratik,Team

      4. เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว เจ้า eclipse มันจะให้ติดตั้ง SVN Connector ก็เลือก Version ให้ตรงกับ svn client ที่ได้ Download มา
      5. ติดตั้งเสร็จเรียบร้อย


      • การใช้ subversion บริการของ Google Code
      ในที่นี้เราจะใช้บริการของ Google ที่มีชื่อว่า Project Hosting ก่อนอื่นก็สมัคร Account ของ google ก่อนนะครับ เพื่อสามารถใช้งาน Project Hosting ของ google ได้ ...Create Account...

      เมื่อเราสมัครเสร็จแล้วก็สร้างโปรเจคกันเลยครับ


      Project name:
      Project summary:Project description: Version control system: Subversion (เลือก)
      Source code license: มีหลายแบบเราอยากให้ code ของเราเป็น public หรือไม่อย่างไร ก็เลือกเลยครับ
      Project labels:คำที่เกี่ยวข้องกับโปรเจคเรา เช่น java, sql, c++,python เป็นต้น

      ทั้งหมดที่ทำไปนี้เป็นการเตรียมการที่จะใช้ subversion บน windows กับโปรแกรม eclipse-galileo และบริการ project hosting ของ google code


      • วิธีการสร้างโปรเจค elipse-galileo ที่ใช้ subversion และบริการของ google



        1. เปิด elipse
        2. เลือก File > new > project..
        3. เลือก project from SVN
        4. เลือก Create a new repository location
        5. ในช่อง URL: ให้ไป copy url จากตรงนี้มา

          ในช่อง username ให้ใส่ Account ของ google
          *แต่ช่อง password ให้ไปเอามาจากตรงนี้ เค้าจะ generate password ให้แบบนี้...




          click ตาม link เข้าไป


        6. มันจะถามว่าให้ตัดส่วนท้ายของ url ไหม ตอบ No

        7. จากนั้นมันจะโหลด จะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมาเกี่ยวกับ Certificate ก็ตอบ Trust ไป
          รอซักครู่จะมีหน้าต่าง ก็เลือกวันที่ แล้วกด Finish เป็นอันเสร็จ

        8. Check out as... ให้เลือก
          check out as a project with the name specified
          ก็ใส่ชื่อ folder เองเลย... จากนั้นกด Finish เป็นอันเสร็จพิธี.
        เราก็ได้โปรเจคของเราแล้ว โอ้วโห...


        *อันนี้จะได้โปรเจคเปล่าๆเลยนะครับ ต้องไป Add builder, JRE อะไรพวกนี้เองนะครับ



      อีกวิธีเป็นการสร้างโปรเจค eclipse ธรรมดาก่อน เช่น เราจะเขียน JAVA ก็สร้างขึ้นมา มันจะมี Builder,JRE อะไรทำนองนี้ให้ในตัวโปรเจคเลย ไม่ต้องยุ่งยาก จากนั้นเราจะใช้ SVN Command ในการ เอาโปรเจคของเราขึ้นไปไว้บน google code แล้วค่อย ใช้ eclipse ในการ CheckOut(โหลด project ลงเครื่อง,เปิด) มาดูกันต่อเลย...

      1. ขั้นตอนแรกก็ให้สร้างโปรเจคธรรมดา เช่น Java project.
        สร้างไฟล์ code เราอะไรก็ สร้างไปเลยเต็มที่
      2. จากนั้น save ให้เรียบร้อย แล้วเปิด terminal หรือ cmd
        จะใช้คำสั้ง svn import เพื่อเอาไปทั้ง folder เลย มาดู help ของคำสั่งกัน

        รูปแบบการใช้ : import [path] URL -m [message]
        ใส่ -m เพื่อเป็นการบอกว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรกับไฟล์ เช่น -m"upload project to google"

        เราก็ใส่ path แล้วก็ url ไป
        มันจะให้ใส่ password ของเครื่องเรา ถ้าไม่ได้กำหนดไว้ก็กดผ่านไปเลย
        จากนั้นจะให้ใส่
        username : [Acount google]
        password: [generate google password]

        password ที่มัน gen ให้นะครับ เคยอธิบายไว้แล้วที่ด้านบน
      3. เสร็จแล้วจะได้แบบนี้




        มันจะเอาไปทั้ง folder เราเลยแล้วก็จะ commit(บันทึก) ให้เรียบร้อย
      4. จากนั้นใช้ eclipse ในการ checkOut ไฟล์ลงมาที่โปรแกรม พูดง่ายๆก็คือ เปิดโปรเจคจาก SVN นั่นแหละ

        ก็ทำเหมือนเดิม
        เลือก File > new > project..
        เลือก project from SVN
        เลือกได้เลย เพราะเราสร้าง repository ไว้แล้วจากข้างบน
        กด next ไปจะได้ แบบนี้




        กด Finish ก็เรียบร้อย
      เราก็จะได้โปรเจคที่เปิดมาจาก SVN แล้ว


      Java Look And Feel(SystemLookAndFeel,theme)

      สวัสที่ท่านผู้อ่านนะครับ พอดีผมเขียนโปรแกรมแล้วประสบปัญหาการปรับแต่งหน้าตาใน Java App SE
      แล้วหาข้อมูลยากมากๆ ก็เลยคิดว่านำมาแบ่งปันให้จะเป็นการดี
      • ปกติแล้วเวลาที่เราเขียนโปรแกรมหน้าตาของมัน จะเรียกใช้มาจากตัว Library ของ java
        จะเป็นประมานนี้...
        แล้วจะเปลี่ยนหน้าตาโปรแกรมให้เหมือนกับ หน้าตาโปรแกรมที่เราใช้ยังไง เช่น เรา
        ใช้window 7 หรือกับ OS อื่นๆ โดยให้เปลี่ยน Theme ไปตาม OS นั้นๆ
        ก็ให้เพิ่มคำสั่งตามนี้เลย...

        try {
        //อันนี้เรียกใช้จาก Library ของ java โดย Default //UIManager.setLookAndFeel(UIManager.getCrossPlatformLookAndFeelClassName());
        
        //อันนี้เป็นของแถมมากับเจ้า Library ของ java เช่นกัน
        //UIManager.setLookAndFeel("com.sun.java.swing.plaf.motif.MotifLookAndFeel");
        
        //อันนี้เป็น theme ของระบบ
        UIManager.setLookAndFeel(UIManager.getSystemLookAndFeelClassName());
        } catch (Exception e)  { }
        

        ให้ใส่ก่อนการ สร้าง Frame นะครับพี่น้อง
      ...ข้อมูลเพิ่มเติมที่ Java Tutorial...

      10 May 2010

      เครียดๆๆๆ

      เส้นตายขยับเข้ามาทุกที ขณะที่ผมยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่ โอ้แม่เจ้า!

      06 May 2010

      ความคืบหน้าของงาน

      ดาวโหลดแผนงานได้ที่นี่
      ภาพโดยรวมของงานทั้งหมด ตอนนี้ควรจะถึงขั้นตอนการวิเคราะห์แล้ว แต่มันไม่เป็นไปตามแผนงานครับ ผมคิดว่าปัญหามาจาก เรื่องที่ต้องศึกษามีเยอะ แม้จะแบ่งกันแล้วมันก็ยังเยอะ เป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเราและมีเวลาน้อยมากครับ

      อีกปัญหาครับ..การอ่านหนังสือที่เป็น e-book หรือ การอ่านหนังสือเรียนจากจอคอมพิวเตอร์ แน่นอนครับเป็นเรื่องที่ผมหรือเพื่อนไม่คุ้นเคย เพราะการเรียนส่วนมากอ่านจากกระดาษมาจนชิน แต่ผมก็คิดครับว่า นี่เป็นการฝึกงาน เราต้องฝึกหลายๆอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน ผมก็พยายามให้มีสมาธิกับการอ่านจากจอคอมพิวเตอร์มันก็ค่อนข้างยากครับ ที่จะไม่แว้บไปเปิดเว็บอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังศึกษา แต่ถ้ามีงานทำเป็นชิ้นเป็นอันผมก็มีสมาธิกับมันดีครับ อย่างเช่น ตอนที่มอบหมายงานแก้ Report บางส่วนก็ตั้งใจทำอย่างมีสมาธิครับ

      ความคืบหน้าของงาน ตอนนี้...
      นก ก็พอเข้าใจ plugin มากขึ้นและกำลังออกแบบหน้าตา twitterได้บ้างแล้ว
      เบน เข้าใจ ajack,javascript,sql มากขึ้น ตอนนี้อยู่ในช่วงศึกษาอยู่ครับ
      ผม ก็พอมีความรู้เรื่อง xml,rss,atom,json เท่าหางอึ่งครับ >..< กำลังอยู่ในช่วงศึกษาเหมือนกันครับ
      ผมเป็นคนบริหารไม่ได้เรื่องครับ มีหลายอย่างที่ควรทำแต่ไม่ทำ เช่น ไม่ติดตามถามงาน ไม่ค่อยพูดคุยกับทีมเท่าไหร่ เรื่องงานก็รู้สึกท้อเหมือนกันครับ แต่ก็จะพยายามต่อไปครับ
      แผนงานสำหรับอาทิตย์หน้า คงจะรวมการวิเคราะห์และออกแบบเข้าด้วยกันเลยครับ

      ก่อนจบการฝึกงาน ตัวผมและเพื่อนๆพี่ๆหวัง ก็คงจะหวังสิ่งเดียวกันคืออยากเห็นงานออกมาสำเสร็จเสร็จตามเวลาที่กำหนดและบรรลุวัตถุประสงค์ที่พี่ๆได้คาดหวังไว้
      -----------------------------------------------------------------
      เหมือนจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง ที่ลิบหรี่เหลือเกิน

      04 May 2010

      รู้จักกับ Java Script ?

      JavaScript

      หน้าเว็บเพจที่สร้างด้วยภาษา HTML/XHTML เพียงอย่างเดียว จะทำได้แค่เพียงจัดรูปแบบการแสดงผลให้สวยงาม แต่ไม่สามารถสร้างลูกเล่นต่างๆ ได้ เราจึงต้องอาศัย JavaScript เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับเว็บเพจ ^^

      JavaScript เป็นภาษา script ที่ใช้งานบนเว็บเพจต่างๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำให้เว็บเพจสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ดีขึ้น มักใช้ JavaScript เขียนเป็นฟังก์ชั่นสำหรับใช้งานต่างๆ เช่น ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในแบบฟอร์ม, ตรวจสอบชนิดและรุ่นของโปรแกรมเว็บเบราเซอร์, สร้างไฟล์ cookie, สร้างลูกเล่นต่างๆ เช่น ปฏิทิน, หิมะตก เป็นต้น

      JavaScript เป็นภาษาประเภท Interpreted Language ไม่ต้องมีการ compile ก่อน กล่าวคือ คอมพิวเตอร์จะแปลและทำงานตามคำสั่งแบบทีละบรรทัด

      JavaScript เป็น Client-side Script ซึ่งจะประมวลผลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยใช้โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ เช่น IE (version 3 ขึ้นไป), Netscape (version 2 ขึ้นไป), Firefox ซึ่งสนับสนุนการทำงานของ JavaScript ดีอยู่แล้ว การที่ JavaScript ไม่ได้ถูกประมวลผลบนเครื่อง Web Server จะช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานของ server และทำงานได้รวดเร็ว

      JavaScript ไม่ใช่ภาษา Java แต่อย่างใด Java เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาโดย Sun Microsystems เป็นภาษาประเภท programming สำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP : Object-Oriented Programming) คล้ายกับภาษา C, C++

      การใช้งานภาษา JavaScript ควรมีความรู้พื้นฐานในเรื่อง HTML/XHTML มาก่อน เพราะการใช้งาน JavaScript โดยทั่วๆ ไป จะเขียน code คำสั่งต่างๆ แทรกลงไปใน code ของ HTML

      03 May 2010

      รู้จักกับ JSON ?

      JSON: JavaScript object notation เป็นฟอร์แมตสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลคอมพิวเตอร์ ฟอร์แมต JSON นั้นอยู่ในรูปข้อความธรรมดา (plain text) ที่ทั้งมนุษย์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถอ่านเข้าใจได้

      ปัจจุบัน JSON นิยมใช้ในเว็บแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะ AJAX โดย JSON เป็นฟอร์แมตทางเลือกในการส่งข้อมูล นอกเหนือไปจาก XML ซึ่งนิยมใช้กันอยู่แต่เดิม สาเหตุที่ JSON เริ่มได้รับความนิยมเป็นเพราะกระชับและเข้าใจง่ายกว่า XML

      JSON นั้นใช้ syntax ของภาษาจาวาสคริปต์ แต่ไม่ถูกมองว่าเป็นภาษาโปรแกรม กลับถูกมองว่าเป็นภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลมากกว่า ในปัจจุบันมีไลบรารีของภาษาโปรแกรมอื่นๆ ที่ใช้ประมวลผลข้อมูลในรูปแบบ JSON มากมาย

      โค้ดตัวอย่างของ JSON เป็นดังนี้




      นี่ละครับที่เขาเรียกกันว่า JSON ไม่มีอะไรเลยนอกจากรูปแบบของข้อมูล..

      30 April 2010

      รู้จักกับ ATOM ?

      Atomถือกำเนิดขึ้นโดยเริ่มจาก กลุ่มผู้พัฒนาเว็บบล็อก (Blog) ได้ร่วมมือกันสร้าง API (Application Programming Interface) ขึ้นมาในปี 2003 เพื่อช่วยในการสร้าง
      Blog Server ภายใต้พื้นฐานของโปรโตคอล HTTP และโครงสร้าง XML โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้าน XML มาช่วยในการออกแบบ โดยในปี 2005 ทาง IETF ได้ประกาศให้ Atom เป็นมาตรฐานของอินเทอร์เน็ตที่รู้จักกันในชื่ออย่างเป็นทางการว่า
      RFC-4287 Atom Syndication Format และหนึ่งใน Web Blog ชื่อดังอย่าง Blogger.com ได้ใช้ Atom ในการรับส่งข้อมูล Feed เนื้อหาต่างๆ ของ Blog ทั้งหมด โดยไม่มีการใช้
      RSS เลย

      Atom ได้กำหนดความหมายการบรรยายข้อมูลของตัวเองไว้อย่างเป็นโครงสร้างเพื่อเป็น ประโยชน์ในการบรรยายความหมายของข้อมูล โดยเฉพาะวันเวลา ข้อความ และการแสดงข้อมูลตัวบุคคล

      ไม่ว่าข้อมูล Feed จะเป็นแบบ RSS Feed หรือ Atom Feed ก็ล้วนแล้วแต่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ XML ด้วยกันทั้งนั้น ต่างกันที่การกำหนดรูปแบบโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลเนื้อหาว่ากำหนดกัน อย่างไร
      ซึ่งโดยหลักการแล้วยังคงมีลักษณะเด่นคือสามารถป้อนข้อมูลไปยังผู้ ใช้บริการโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีการเรียกขอซ้ำเมื่อตัวข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้ใช้บริการ
      Feed ได้รับข้อมูลที่ทันสมัยอยู่เสมอ

      29 April 2010

      รู้จักกับ RSS ?

      RSS ย่อมาจาก “Really Simple Syndication” ซึ่งอาจแปลเป็นไทยได้ว่า “การกระจายข่าวสารอย่างง่ายๆ” ซึ่ง RSS มีวิธีการกระจายข่าวสารโดยกำหนดให้ผู้ที่ต้องการจะกระจายข่าวสารทำการสร้าง RSS Feed ซึ่งเป็นไฟล์ที่อยู่ในรูปแบบของ XML ขึ้นมาไว้บนเซิร์ฟเวอร์ และนำลิงค์ของไฟล์นั้นแจกจ่ายให้กับผู้ที่ต้องการติดตามข่าวสารจากผู้กระจาย ข่าวสาร ขั้นตอนถัดมาผู้ที่ต้องการจะติดตามข่าวสารจะต้องทำการสมัครหรือลงทะเบียนกับ RSS Feed นั้นๆ โดยใช้ RSS Reader ซึ่ง RSS Reader นี้จะเป็นตัวดึงข่าวสารจากต้นทางหรือผู้กระจายข่าวสารแล้วส่งไปยังปลายทาง หรือผู้ติดตามข่าวสารเป็นระยะๆ โดยที่ผู้ติดตามข่าวสารไม่จำเป็นจะต้องทำการตรวจสอบจากหน้าเว็บไซต์ด้วย ตนเองเพียงเพื่อต้องการจะทราบว่ามีข้อมูลใหม่ๆหรือข่าวสารใหม่ๆหรือไม่

      การที่จะให้มันทำงานได้นะครับ ตัวมันต้องอยู่ใน tag ของ XML นะครับ
      ตัวอย่าง
      ข้อดีของ RSS
      RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะกรณีการละเมิด ลิขสิทธิ์ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อ ต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์เป็น ศูนย์กลางมากขึ้น

      จุดเด่นของ RSS คือ ผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อดูว่ามีข้อมูล อัพเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัพเดท ไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัพเดทใหม่บนเว็บไซต์ ไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข่าวสารอัพเดทใหม่ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและ ฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์

      งมหอยในกะละมังน้ำขุ่น..

      28 April 2010

      รู้จักกับ XML ?

      จากแผนงานที่ได้วางเอาไว้นะครับ ก็ต้องผ่านหลายด่าน เพื่อจะได้มีความรู้ขึ้นมาพอที่จะอ่าน code ได้บ้าง(ก็ยังดี อิอิ)..
      • สำหรับ XML นะครับ ก็คือ ย่อมาจาก Extensive Markup Language เป็นตัวกลางที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้จะไม่ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มใด

      • XML เป็นส่วนเสริมของ HTML กล่าวคือตัว XML ไม่สามารถแสดงผลได้ในตัวของมันเอง หากต้องการแสดงผลที่ถูกต้อง จะต้องมีการใช้ร่วมกับภาษาอื่น เช่น HTML,JSP,PHP,ASP,VB,*.NET หรือภาษาอื่น ๆ ที่สนับสนุน

      • XML เป็น จะมีนามสกุลเป็น *.XML สามารถสร้างขึ้นจากโปรแกรมประเภท Text Editor ใดก็ได้ เช่น Notepad, Edit plus, DreamWeaver, MS Word เป็นต้น

      • XML อาศัยโปรโตคอลที่ชื่อว่า SOAP (Simple Object Access Protocal) ซึ่งเป็นข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างกัน Element กับ Tag


      24 April 2010

      23 April 2010

      ProjectTwitter-SDLC ขั้นที่ 2(Day 13)

      วันนี้รายงานความคืบหน้าของงาน ซึ่งไม่ค่อยจะคืบหน้าเท่าไหร่
      ก็ได้ทำการวางแผนงาน และแบ่งหน้าที่ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
      (เรื่องที่ต้องศึกษาเยอะมากเลยครับ ผมเกรงว่าจะไม่ทั้นเวลา)

      22 April 2010

      ProjectTwitter-SDLC ขั้นที่ 2(Day 12)

      วันนี้ผมกลับมาทบทวน และวางแผนงานฉบับร่างขึ้น พร้อมศึกษาการเขียน pert diagram ใช้สำหรับการเขียนแผนภาพงานนั่นเองครับ
      -------------------------------------------------------------

      21 April 2010

      ProjectTwitter-SDLC ขั้นที่ 2(Day 11)

      ตัวผมเองวันนี้ก็ศึกษา XML ไปได้บางส่วนแล้วครับ
      -------------------------------------------------------------
      ความคืบหน้าของงาน:
      ตอนนี้แต่ละคนก็ศึกษาตามที่ได้แบ่งกันไว้ครับ

      20 April 2010

      ProjectTwitter-SDLC ขั้นที่ 2(Day 10)

      วันนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากวันวาน

      19 April 2010

      ProjectTwitter-SDLC ขั้นที่ 2(Day 9)

      หลังจากที่ได้หยุดยาวในช่วงสงกรานต์ เสมือนประหนึ่งความรู้ที่มีไหลลงหม้อไปหมด แฮะๆ แผนการที่วางไว้ว่าวันหยุดจะได้มีเวลาศึกษาเรื่องที่ค้างคา กลับบ้านไปได้อ่านแค่ 2-3 หน้าเท่านั้น! แถมปีนี้ไม่ได้เล่นน้ำเพราะต้องช่วยพ่อทำสะอาดและจัดของที่บ้าน อากาศร้อนถึง 42c ช่วงเวลา 10 โมง ถึง บ่าย 3 ไม่ต้องทำอะไรกันเลยครับ ร้อนจนปวดหัวกันเลยทีเดียว..

      วันนี้ได้ดู API ของ twitter ละเอียดขึ้นจากวันวาน จึงได้พบกับบทเรียนไหม่ที่ต้องศึกษาเพิ่ม ได้แก่ xml,rss,atom,json อาทิตย์นี้จึงตังใจจะศึกษา xml เท่านั้นให้เสร็จภายใน 1 อาทิตย์ เพราะจากที่ได้สังเกตุ grails,twitter และ rss,atom,json ก็ใช้ใน tag ของ xml จึงน่าจะศึกษาก่อน.
      -----------------------------------------------------------------------------
      ความคืบหน้าของงาน:
      วันนี้เหมือนไม่ได้อะไรขึ้นมาเท่าไหร่ เห้อ.. หลายเหตุผลที่ invisible อยู่ครับ เมื่อไม่มีพี่ๆอยู่คุม สิ่งที่ได้คิดไว้ก็เกิดขึ้น ผมก็เป็นไปกับเค้าด้วย.... เป็นการต่อสู้กับตัวเองล้วนๆ(วันนี้ชนะ 65%)

      09 April 2010

      ProjectTwitter-SDLC ขั้นที่ 2(Day 8)

      SDLC ขั้นที่ 2 คือ ศึกษาความเปนไปได (Feasibility Study)
      มาถึงขั้นตอนนี้แผนงานของขั้นตอนนี้ก็คือ ศึกษาสิ่งที่จะใช้สำหรับการสร้าง web-app นี้ เรื่องที่ต้องศึกษา เช่น ajack,javascript,grails,grails-plugin,groovy,sql,rss,atom,xml,API(application programing interface) เยอะจัง T_T
      ความเป็นไปได้ project นี้นะครับ ตอนนี้ก็ยังบอกไม่ได้นะครับว่าจะมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะสำเร็จ แต่สุดท้ายผมเชื่อว่ามันจะต้องสำเร็จ(มั้ง)
      ------------------------------------------------------------
      ความคืบหน้าของงานตอนนี้ ก็ได้ออกแบบ flowchart เสร็จแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะใช้งานจริงได้หรือไม่ คงจะต้องไปวิเคราะห์กันใหม่ใน SDLC ขั้นที่ 3 ในหัวข้อ วิเคราะห์(Analysis)
      FlowChart อันนี้ก็จะนำไปใช้ในการออกแบบหน้าตาของ web-app ของเรานั่นเอง

      08 April 2010

      ProjectTwitter- SDLC ขั้นที่ 1(Day 7)

      วันนี้ก็ได้ตรวจสอบส่วนต่างๆว่าส่วนที่เราต้องการครบและเข้าใจในปัญหามากน้อยแค่ไหน เพื่อในวันพรุ่งนี้จะได้วางแผนความพร้อม ว่าสามารถเข้าสู่ SDLC ขั้นตอนที่ 2 ได้เมื่อไหร่...

      07 April 2010

      ProjectTwitter- SDLC ขั้นที่ 1(Day 6)

      วันนี้การออกแบบที่ได้เขียนเป็น flowchart ก็ได้เสร็จสม(ใช้เวลานานเหมือนกันนะเนี่ย) งานต่อไปคือ ออกแบบหน้าเว็บ ก็จะนำฟังก์ชันก์ที่ได้ออกแบบมาหลายวันนี่แหละ มาใช้ในการวิเคราะห์การทำงานด้วย ส่วนใหญ่ก็จะติดต่อ Database ทั้งนั้นเลย...

      06 April 2010

      ProjectTwitter- SDLC ขั้นที่ 1(Day 5)

      วันนี้ก็ได้ศึกษาและเขียน flowchart อย่างเมื่อวาน คาดว่าพรุ่งนี้คงจะออกแบบเสร็จ เฉพาะในส่วนที่จำเป็นใช้งาน...

      05 April 2010

      ProjectTwitter- SDLC ขั้นที่ 1(Day 4)

      หลังจากหยุดไปสองวัน วันนี้ก็มาฝึกงานตามปกติวันนี้ฉายเดี่ยวครับ พอดีเพื่อนๆลางานกัน(ไม่มีใครให้บ่นเลย อิอิ)
      เช้านี้ก็ได้ถามไถ่พี่ๆแล้ว ว่าจะทำอย่างไรกับการเขียนขั้นตอนการทำงานออกมาเป็น flowchart โดยที่เรายังไม่รู้จักและไม่เคยได้ลองทำมาก่อน ก็ได้คำแนะนำมาว่าเขียนพอเป็นวิธีคร่าวๆก่อนก็ได้ เวลาที่ไปลงมือเขียนโปรแกรมนั้น ขั้นตอนมันเปลี่ยนแปลงกันได้ ถึงเวลานั้นค่อยปรับเปลี่ยน flow ของเราใหม่

      ก็ได้เริ่มเขียนใหม่ตั้งแต่การสมัครเลยหละครับ วันนี้ก็เขียนไปได้ 4 function(น้อยจังเล่า) คิดแบบละเอียดถี่ถ้วนและได้ปรึกษากับเจ้าพ่อ Google ว่าแบบนี้มีคนเค้าเขียนยังไงกันบ้าง เสียดายไม่เจอครับ สงสัย keyword ที่ได้ถามไปนั้นจะไม่ตรง.....T_T

      04 April 2010

      Sunday-hello วันหยุด

      อยากได้หนังสือ Oracle 10g จังเลย ว่าจะหาเวลาไปซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาไม่มีเวลาไปซักที วันอาทิตย์ทั้งทีนั่งคิดถึงแต่งานๆๆๆว่าจะทำให้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง คิดไปก็ปวดหัวเล่นเกมดีกว่า ซะงั้นอะ...
      แต่ก็ไม่ถ้อถอยอยู่แล้วต้องทำให้มันสำเสร็จให้ได้(ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น)

      03 April 2010

      JAVA-Inheritance

      วันนี้ได้มาซ้อมทำโปรเจคที่มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาเรื่องการสืบทอด...

      ประโยนช์ของการสืบทอด(extends)
      • แก้ปัญหาการเขียนโปรแกรมซ้ำซ้อนกันได้
      • เมธอดหรือแอตทริบิวต์ที่คลาสต่างๆ มีร่วมกันจะถูกนำไปใส่ในคลาสแม่
      • คลาสลูกจะสืบทอดเมธอดและแอตทริบิวต์คลาสแม่โดยอัตโนมัติ

      ประโชน์ของการทำ polymorphism
      • poly แปลว่าหลายหรือมาก
      • morphism นั้นมาจากคำว่า morph ซึ่งแปลว่ารูปร่าง
      • รวมกันแล้วหมายถึงความสามารถที่สิ่งหนึ่งจะมีได้หลายรูปร่าง ซึ่งเมื่อใช้คำนี้กับการโปรแกรมเชิงวัตถุ ก็จะหมายถึงการที่คำสั่งแบบเดียวกันสามารถถูกแปลได้หลายแบบ
      • พอลิมอร์ฟิซึมสนับสนุน การนำกลับมาใช้ใหม่ (reuse)
      • ถ้าเราได้เขียนโปรแกรมที่ใช้งานได้กับสัตว์ โปรแกรมของเราย่อมใช้ได้กับแมว ปลา และลิงนอกจากนั้นถ้ามีคนสร้างคลาสอีกัวน่าขึ้นมาใหม่ โปรแกรมที่เราเขียนก็สามารถใช้ได้กับคลาสอีกัวน่าเช่นกัน

      02 April 2010

      ProjectTwitter- SDLC ขั้นที่ 1(Day 3)

      วันนี้เขียน flowchart ไปซักพักเริ่มเกิดสงสัยขึ้นมา สิ่งที่เราเขียนการทำงานไปนั้นถูกจริงเหรอ เหมือนเราจะเดาๆเอาเอง แฮะๆ ก็เลยหยุดไว้ก่อน...
      มีปัญหาเกิดขึ้นมาแล้ว เราไม่มีความรู้ที่จะเขียนขั้นตอนการทำงาน โอ้วแล้วเราจะทำอย่าไรดี จึงได้ถามพี่แซนคำตอบที่ได้ก็คือ "ต้องศึกษา" ใช่เลยครับ แล้วจะศึกษาจากไหนดีน้า....

      01 April 2010

      ProjectTwitter- SDLC ขั้นที่ 1(Day 2)

      วันนี้ช่วงเช้าก็ศึกษาและเก็บภาพหน้าต่างๆ จนเสร็จ ก็พอเข้าใจนิดหน่อยว่า twitter คืออะไร ทำงานอย่างไร
      ตกบ่าย ก็ทำการเริ่มเขียนขั้นตอนการทำงานต่างๆออกมาเป็นFunction โดยนำมาเขียนเป็น Flowchart ว่ากระบวนการนั้น มีขั้นตอนอะไรบ้างเช่น การSignin ,login เป็นต้น ก็ได้เขียนพอเป็นวิธีคร่าวๆ จริงๆแล้วผมคิดว่าน่าจะมีรายละเอียดขั้นตอนต่างๆเยอะกว่านี้แน่ๆ(ตอนนี้ความรู้เท่าหางอึ่งอะ) คาดว่าจะใช้เวลาหลายวัน...

      31 March 2010

      ProjectTwitter-เริ่ม SDLC ขั้นที่ 1

      วันนี้หลังจากได้แนวคิดมาแล้ว ก็ประกาศเริ่มกระบวนการ SDLC ขั้นที่ 1 คือ
      เขาใจปญหา (Problem Recognition) และหาความต้องการ
      วันนี้จึงได้ศึกษา twitter ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง และได้เขียนเอกสารว่าแต่ละหน้าประกอบด้วยอะไรบ้าง ไว้บางส่วนและเก็บภาพหน้านั้นๆ เอาไว้ประกอบความเข้าใจ เพื่อจะนำไปรายงานความคืบหน้า และให้ทีมอ่านจะได้เข้าใจได้เร็วขึ้น

      ระยะเวลา SDLC ขั้นที่ 1 กำหนดระยะเวลาไว้คือ 3 วัน ไม่รู้ว่าจะทันขอบเขตเวลารึเปล่าเหมือนกันนะครับ...

      30 March 2010

      ProjectTwitter-Start!

      วันนี้ต้องเจอกับงานช้างซะแล้ว ไม่ได้หนักใจเรื่องงานครับ ถึงงานจะหนักและวุ่นวายแค่ไหนก็จัดการและพยายามทำจนมันสำเร็จได้..ยังมีอย่างอื่นที่จัดการยากกว่า(..zzZZ..)

      ครั้งแรกที่ได้ยินว่าให้ทำอะไร โอ้โห! มืด 8 ด้านเลยครับ ความรู้ก็ไม่มี
      ได้คำแนะนำจากพี่แซนมาก็คือ ให้ศึกษาเรื่อง...
      หลังจากกินข้าวเสร็จก็ขึ้นมาค้นหาทันที...แล้ว Download เอกสารมาเก็บไว้
      ก็ได้นั่งอ่านไปคร่าวๆบ้างแล้ว พอเข้าใจครับ จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้โปรเจคเสร็จสมตามเวลาและความจำกัดจำเขี่ยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านเวลา ความรู้ หรือความยากของงาน...


      Grails-Security-Encryption

      การเข้ารหัส (encryption) คือ การเปลี่ยนข้อความที่สามารถอ่านได้ (plain text) ไปเป็นข้อความที่ไม่สามารถอ่านได้ (cipher text) เพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย

      ประโยชน์ของการเข้ารหัส

      การเข้ารหัสนั้น นอกจากเป็นการทำให้ข้อมูลถูกสับเปลี่ยนเพื่อไม่ให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจ และใช้ประโยชน์จากข้อมูลนั้นได้แล้ว การเข้ารหัสยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีก เช่น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบว่าผู้ที่กำลังใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือทำรายการบนเว็บเพจเป็นผู้ที่เราต้องการติดต่อจริง ไม่ใช่ผู้อื่นที่แอบอ้างเข้ามาใช้ระบบ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้เป็นลายเซ็นดิจิตอลในการระบุ หรือยืนยันว่าอีเมล์หรือแฟ้มข้อมูลที่ส่งไปให้ผู้อื่นนั้นมาจากเราจริงๆ ได้อีกด้วย

      วิธีการเข้ารหัสมีความสำคัญต่อ 3 ส่วนหลักของระบบการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ  
      • 1. ระบบตรวจสอบว่าเป็นเอกสารจริง (Authentication)
      • 2. การพิสูจน์หลักฐานว่าได้กระทำการรายการจริง (Non-Repudiation)
      • 3. การรักษาสิทธิส่วนตัว (Privacy)

      นอกจากนี้การเข้ารหัสยังนำไปใช้ในการตรวจสอบการแสดงตัว (Identification) ซึ่งอยู่ในการทำ Authentication โดยใช้พิสูจน์ว่าคนที่ส่งหรือรับข้อมูลนั้นเป็นบุคคลที่เขาอ้างตัวจริงๆ และยังสามารถตรวจสอบไปอีกขั้นว่าข้อมูลที่ส่งมานั้นได้ถูกดัดแปลงโดยผู้อื่นก่อนถึงมือเราหรือไม่

      สำหรับในเรื่องของการพิสูจน์หลักฐานว่าได้กระทำรายการจริง (Non-Repudiation) จะมีความสำคัญอย่างมากต่อการทำรายการทางธุรกิจ เนื่องจากจะใช้เป็นหลักฐานป้องกันการปฏิเสธในภายหลังว่าไม่ได้เป็นผู้ส่ง / รับ แฟ้มข้อมูล หรือไม่ได้ทำรายการทางธุรกิจนั้นๆ >>>http://th.wikipedia.org/wiki/การเข้ารหัส


      ศึกษาจากตัวอย่างนะครับ ก่อนอื่นสร้าง User,UserController
      1. grails create-domain-class User แล้วใส่ code ตามนี้

        class User {
        String login
        String password
        String role = "user"
        static constraints = {
        login(blank:false, nullable:false, unique:true)
        password(blank:false, password:true)
        role(inList:["admin", "user"])
        }
        static transients = ['admin']
        boolean isAdmin(){
        return role == "admin"
        }

        def beforeInsert = {
        password = password.encodeAsSHA()
        }

        String toString(){
        login
        }
        }

      2. grails create-controller User แล้วใส่ code ตามนี้

        class UserController {

        def login = {}
        def logout = {
        flash.message = "Goodbye ${session.user.login}"
        session.user = null
        redirect(action:"login")
        }
        def authenticate = {
        def user = User.findByLoginAndPassword(
        params.login, params.password.encodeAsSHA())
        if(user){
        session.user = user
        flash.message = "Hello ${user.login}!"
        redirect(controller:"race", action:"list")
        }else{
        flash.message =
        "Sorry, ${params.login}. Please try again."
        redirect(action:"login")
        }
        }


        static allowedMethods = [save: "POST", update: "POST", delete: "POST"]

        def index = {
        redirect(action: "list", params: params)
        }

        def list = {
        params.max = Math.min(params.max ? params.int('max') : 10, 100)
        [userInstanceList: User.list(params), userInstanceTotal: User.count()]
        }

        def create = {
        def userInstance = new User()
        userInstance.properties = params
        return [userInstance: userInstance]
        }

        def save = {
        def userInstance = new User(params)
        if (userInstance.save(flush: true)) {
        flash.message = "${message(code: 'default.created.message', args: [message(code: 'user.label', default: 'User'), userInstance.id])}"
        redirect(action: "show", id: userInstance.id)
        }
        else {
        render(view: "create", model: [userInstance: userInstance])
        }
        }

        def show = {
        def userInstance = User.get(params.id)
        if (!userInstance) {
        flash.message = "${message(code: 'default.not.found.message', args: [message(code: 'user.label', default: 'User'), params.id])}"
        redirect(action: "list")
        }
        else {
        [userInstance: userInstance]
        }
        }

        def edit = {
        def userInstance = User.get(params.id)
        if (!userInstance) {
        flash.message = "${message(code: 'default.not.found.message', args: [message(code: 'user.label', default: 'User'), params.id])}"
        redirect(action: "list")
        }
        else {
        return [userInstance: userInstance]
        }
        }

        def update = {
        def userInstance = User.get(params.id)
        if (userInstance) {
        if (params.version) {
        def version = params.version.toLong()
        if (userInstance.version > version) {
        userInstance.errors.rejectValue("version", "default.optimistic.locking.failure", [message(code: 'user.label', default: 'User')] as Object[], "Another user has updated this User while you were editing")
        render(view: "edit", model: [userInstance: userInstance])
        return
        }
        }
        userInstance.properties = params
        if (!userInstance.hasErrors() && userInstance.save(flush: true)) {
        flash.message = "${message(code: 'default.updated.message', args: [message(code: 'user.label', default: 'User'), userInstance.id])}"
        redirect(action: "show", id: userInstance.id)
        }
        else {
        render(view: "edit", model: [userInstance: userInstance])
        }
        }
        else {
        flash.message = "${message(code: 'default.not.found.message', args: [message(code: 'user.label', default: 'User'), params.id])}"
        redirect(action: "list")
        }
        }

        def delete = {
        def userInstance = User.get(params.id)
        if (userInstance) {
        try {
        userInstance.delete(flush: true)
        flash.message = "${message(code: 'default.deleted.message', args: [message(code: 'user.label', default: 'User'), params.id])}"
        redirect(action: "list")
        }
        catch (org.springframework.dao.DataIntegrityViolationException e) {
        flash.message = "${message(code: 'default.not.deleted.message', args: [message(code: 'user.label', default: 'User'), params.id])}"
        redirect(action: "show", id: params.id)
        }
        }
        else {
        flash.message = "${message(code: 'default.not.found.message', args: [message(code: 'user.label', default: 'User'), params.id])}"
        redirect(action: "list")
        }
        }
        }

      3. สร้างการ encode,decode ใน grails-app/utils ไฟล์ชื่อ UnderscoreCodec.groovy

        class UnderscoreCodec {
        static encode = {target->
        target.replaceAll(" ", "_")
        }
        static decode = {target->
        target.replaceAll("_", " ")
        }
        }

      4. สร้าง encryption ใน path เดียวกัน สร้างไฟล์ชื่อ SHACodec.groovy

        import java.security.MessageDigest
        class SHACodec{
        static encode = {target->
        MessageDigest md = MessageDigest.getInstance('SHA')
        md.update(target.getBytes('UTF-8'))
        return new String(md.digest()).encodeAsBase64()
        }
        }

      5. ทดสอบกันเลย...โดยสร้าง User ใหม่ซัก 1 คน แล้วมาดูกันซิว่า password จะ encrypt หรือไม่
        จากนั้น view ดู

        เรียบร้อย ตอนนี้เราก็สามารถทำ Encryption สำเร็จ