12 March 2011

โปรเจคเสร็จแล้ว

ชื่อโปรเจค : โปรแกรมสร้างฐานข้อมูลด้วยแผนผัง

ภาษาที่ใช้ : Java
Design Pattern : MVC

ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร

รายละเอียดและข้อมูลทุกอย่างของโปรเจค ตามลิ้งด้านล่าง...

ใกล้แล้วสินะ...

ใกล้เรียนจบแล้ว รอจับทหาร ถ้าไม่ติดทหาร
ผมจะมอบกายถวายชีวิต ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นให้จงได้ เป็นตายไม่สำคัญ
คนที่ไม่มอบกายถวายชีวิต อยู่ไปก็ตายเหมือนกัน
มาทำตรงนี้ดีกว่ามีคุณค่าที่สุด
ดำเนินรอยตามพระอริยทั้งหลาย
ไปให้ถึงจุดหมายที่นั้นไม่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
สู่ที่ๆไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดกาลนาน... _/||\_

08 February 2011

บันทึกสิ่งที่เราควรแก้ไข ครั้งที่ 1

จดบันทึกเรื่องที่ยายสอน...แก้ไขให้คิดดี พูดดี ทำดี

1. แก้ผูกความไม่พอใจ ความรำคาญ
  • ด้วยการคิดถึงแต่เรื่องที่ดีของผู้นั้นอยู่เนืองๆ แทนที่ความคิดถึงเรื่องที่ไม่ดีของผู้นั้น
  • เข้าใจในความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ถูกกิเลสครอบงำ ที่ยังโง่อยู่
2. เรื่องการพูดไม่คิด
  • เราต้องพยายาม ตั้งใจที่จะมีสติ และใช้ปัญญาไตร่ตรองก่อนที่จะพูดออกไป ว่ามีเหตุมีผลดีไหม ถ้าดีค่อยปล่อยออกไป
  • นำธรรมของสัตบุรุษมาประจำจิตให้ได้>> รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน รู้บุคคล
เราต้องมีความตั้งใจมั่น สู้ๆ สิ่งเลวร้ายทั้งหลายจะสูญไปได้ด้วยการ ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ ผู้บริสุทธิ์....อย่างแน่นอน

05 January 2011

JAVA : How to scroll the horizontal scrollbar by (shift + mouse wheel)

วิธี scroll horizontal scrollbar ด้วยการ กด shift + mouse wheel

// create mouse wheel listener and implement follow below...
@Override
public void mouseWheelMoved(MouseWheelEvent e) {
if ((e.getModifiers() & java.awt.event.InputEvent.SHIFT_MASK)
== java.awt.event.InputEvent.SHIFT_MASK) {
if (scrollPane.getHorizontalScrollBar().isShowing()) {
JViewport viewport = scrollPane.getViewport();
Point viewPosition = viewport.getViewPosition();
if (e.getWheelRotation() < 0) { // wheel up -
viewPosition.x -= scrollPane.getHorizontalScrollBar()
.getBlockIncrement() * 15; // adjust up to you!
} else { // wheel down +
viewPosition.x += scrollPane.getHorizontalScrollBar()
.getBlockIncrement() * 15; // adjust up to you!
}
// X axis only
if (viewPosition.x > viewport.getView().getWidth() - viewport.getWidth()) {
viewPosition.x = viewport.getView().getWidth() - viewport.getWidth();
}
if (viewPosition.x < 0) {
viewPosition.x = 0;
}
viewport.setViewPosition(viewPosition);
}
} else { // dispatchEvent of scrollpane
scrollPane.dispatchEvent(e); // scroll vertical normaly...
}
}

20 November 2010

ไฟล์หนังสือ ป.เจริญธรรม

เป็นไฟล์ microsoft word สามารถอ่านเอง หรือนำไปพิมพ์เป็นเล่มได้
ขนาด 80mb
แตกไฟล์ด้วยโปรแกรม winrar, winzip นะครับ

07 October 2010

สิ่งที่มนุษย์ทนไม่ได้

สิ่งที่มนุษย์ทนไม่ได้ ก็คือ ทนที่จะสวนทางกับความคิด ความต้องการของตัวเองไม่ได้(ทนที่กิเลสใช้ให้คิด พูด ทำ ไม่ได้)

เช่น
ความยินดีพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

ความพอใจในรูป กลิ่น เสียง สัมภัส : ชายพอใจในหญิง หญิงพอใจในชาย เกิดราคะ ความต้องการ แม้รู้ว่าผิดประเภณีอันดีงาม ก็ทำการชิงสุกก่อนห่ามกัน ทนต่อรูปที่งามไม่ได้ ทนต่อกลิ่นน้ำหอม ทนต่อกลิ่นเรือนร่างไม่ได้ ทนต่อเสียงที่(อิไต้ อิไต้)ไม่ได้(อันนี้คงรู้กัน)
ทนต่อสัมผัส(การเสพกาม)ที่เย้ายวนใจไม่ได้ ก็คือทนสวนทางกับความคิดกับความต้องการของตนไม่ได้

ความพอใจในรส : ได้กินอาหารที่รสชาติดี ก็เกิดความติดใจ กินเข้าไปจนเกิดโทษ(อิ่มเกิน, อ้วน, กินไร้สาระ, กินเล่น) เพราะ ทนต่อรสอาหารไม่ได้
ทนต่อความอร่อยของอาหารไม่ได้ ก็คือทนสวนทางกับความคิดกับความต้องการของตนไม่ได้

อยากได้ iPhone ทั้งที่มีมือถืออยู่แล้ว เห็นคนเค้ามีกันก็อยากมีบ้าง ก็ไปซื้อมาจนได้ นี่ก็ทนสวนทางกับความคิดกับความต้องการของตนไม่ได้

เรื่องของความโกรธ(ความไม่พอใจ) พอเค้าด่าเค้าว่า ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ อับอายขายหน้า ก็ทนไม่ได้ ทนเจ็บใจไม่ได้ ทนเสียใจไม่ได้ ต้องตอบโต้กลับไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือแสดงอาการออกมา(เช่น ร้องให้, ด่าตอบ, ชกต่อย, ฆ่ากัน) เป็นต้น

แล้วถ้าทนไม่ได้แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดประโยชน์ เกิดโทษอย่างไร ?
แล้วต้องทำยังไงให้ทนต่อกิเลสที่ใช้ให้เรา คิด พูด ทำ ได้ ?
แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไรกับการรู้เรื่องนี้ ?
ทิ้งไว้เป็นคำถามให้แสดงความเห็นนะครับ ผมอยากจะรู้ความคิดของคุณ อิอิ

04 October 2010

จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวจริงหรือ

กิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นนายของจิต

จิตเป็นนามธรรม มีหน้าที่คิดตามอำนาจของกิเลสหรือปัญญา ตัวอย่างเช่น

ขณะที่ กิเลสความโลภ ครอบงำจิต จิตก็จะคิดอยากได้สิ่งต่าง ๆ เช่น อยากได้ทรัพย์สมบัติ อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นต้น ความโลภก็จะสั่งให้จิตคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งนั้น ๆ มาเป็นของตน ผู้ที่มีกิเลสหนาความโลภก็จะมาก จิตก็จะคิดตามอำนาจของกิเลส แม้ผิดกฎหมายก็จะทำ เช่น ใช้วาจา โกหก หลอกลวง ใช้กายไปฉกชิง วิ่งราว จี้ปล้น หรือวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ โดยไม่กลัวบาป กลัวโทษจากกฎหมายบ้านเมือง สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อื่น นี่คือกิเลสความโลภ เป็นนายของจิต

ขณะที่ กิเลสความโกรธ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อความโกรธครอบงำจิต ความโกรธก็จะใช้ให้จิตคิด โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ปองร้าย คิดทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น โดยใช้วาจาและกายประกอบกรรมชั่วต่าง ๆ โดยไม่คำนึงว่า จะผิดกฎหมาย ผิดครรลองครองธรรม หรือผิดจารีตประเพณี ทำความเดือดร้อนให้กับตนเอง ผู้อื่น และประเทศชาติบ้านเมือง นี่คือกิเลสความโกรธ เป็นนายของจิต

ขณะที่ กิเลสความหลง คือความรักใคร่พอใจ ในสิ่งต่าง ๆ กิเลสก็สั่งจิตให้ยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นความสุข เช่น พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ และลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความหลง ก็สั่งจิตให้คิด รักใคร่พอใจ เมื่อตาเห็นรูปที่สวย หูได้ยินเสียงอันไพเราะ เมื่อจมูกได้กลิ่นหอม เมื่อลิ้นได้ลิ้มรสอาหารที่อร่อย เมื่อกายสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน นุ่ม ก็เกิดอารมณ์รักใคร่ พอใจ แล้วยึดติดในสิ่งต่าง ๆ หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็เช่นเดียวกัน เมื่อพอใจรักใคร่ในสิ่งใดกิเลสความหลงก็จะใช้ให้จิตคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข จึงคิดไขว่คว้าหามาเป็นของตน นี่คือกิเลสความหลงเป็นนายของจิต

เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่ากิเลสทั้ง 3 อย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นนายของจิต คอยสั่งจิตให้แสดงออกมาทางวาจา ทางกาย ให้ทำตามอำนาจของกิเลสข้อใดข้อหนึ่งที่ครอบงำจิตในขณะนั้น


ปัญญาเป็นนายของจิต

ปัญญา คือ ความรอบรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามนุษย์ เกิดมามีแต่ความทุกข์ เพราะมีกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำจิต ผู้มีปัญญา ก็จะคอยระวังจิตไม่ให้เป็นทาสของกิเลส เช่น

เมื่อกิเลส ความโลภเกิดขึ้น ปัญญาก็จะเตือนจิตไม่ให้ลุ่มหลง มัวเมา กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ปัญญาชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ๆ มีความทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา ทุกอย่างไม่ใช่ของเราและไม่ใช่ของใคร เพราะเมื่อตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลย ควรแบ่งปันทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ให้ทานกับผู้ที่ควรให้ เมื่อจิตคิดได้ดังนี้แล้ว ความโลภก็จะคลายลงแล้วปัญญาก็จะนำคำสอนของพระพุทธองค์มาอบรมสั่งสอนจิตอยู่เสมอ ๆ ความทุกข์ที่เกิดจากความโลภ ก็จะหมดไปในที่สุด นี่คือปัญญา เป็นนายของจิตที่ถูกความโลภครอบงำ

เมื่อกิเลส ความโกรธเกิดขึ้น ปัญญาก็จะคอยอบรมสั่งสอนจิต ไม่ให้โกรธ เพราะเมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้วเป็นทุกข์และสามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง เช่น คิดอาฆาตพยาบาท ปองร้าย ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ปัญญาก็จะนำคำสอนของพระพุทธองค์มาอบรมสั่งสอนจิตให้เห็นโทษของความโกรธ ให้มีความรัก ความสงสารต่อผู้อื่น ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความโกรธจะลดลง และหมดไปในที่สุด นี่คือ ปัญญาเป็นนายของจิตที่ถูกความโกรธครอบงำ

เมื่อกิเลส ความหลงเกิดขึ้น จิตก็จะเกิดความพอใจรักใคร่ลุ่มหลงมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในรูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เพราะความหลงเข้าใจผิดว่าทุก ๆ อย่างทำให้มีความสุข ผู้มีปัญญา รู้ว่าจิตถูกกิเลสครอบงำแล้ว ก็จะใช้ความรู้จากคำสอนของพระพุทธองค์ที่ศึกษาและรู้ตาม นำมาสอนจิตให้คิดว่า สิ่งต่าง ๆ ที่จิตยึดมั่นถือมั่นนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เป็นความพอใจที่เกิดจากกิเลสความหลง แท้ที่จริงแล้วความสุขที่ได้รับนั้น มันเป็นความสุขที่อิงอามิส ซึ่งมีความทุกข์รวมอยู่ด้วย เราจะทุกข์กับสิ่งต่าง ๆ เพราะไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน แม้ตัวเราเองก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และจะต้องตายในที่สุด เมื่อจิตถูกปัญญาอบรมสั่งสอนให้เข้าใจ ว่ามีความรักสิ่งใด สิ่งนั้นต้องทำให้เกิดทุกข์ ก็จะคลายความทุกข์ลง และระวังไม่ให้กิเลสความหลงมาเป็นนายของจิตอีกต่อไป ความทุกข์ที่เกิดจากความหลงก็จะหมดไป
นี่คือปัญญาเป็นนายของจิตที่ถูกความหลงครอบงำ
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า พลังแห่งปัญญาเป็นนายของจิต และพลังแห่งกิเลสก็เป็นนายของจิต เช่นกัน ส่วนกายนั้นเป็นบ่าวของจิตจริง เพราะทำตามคำสั่งของจิตเสมอ ไม่ว่าจิตนั้นจะอยู่ภายใต้ อำนาจของปัญญา หรือกิเลสก็ตาม บางครั้งจะเห็นได้ว่าจิตอยู่เฉย ๆ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีความดีใจ หรือเสียใจ ที่เรียกว่าอุเบกขาอารมณ์ เพราะจิตในขณะนั้นไม่ถูกปัญญาหรือกิเลสครอบงำ

ขอทุกท่าน จงคิด พิจารณาว่า เมื่อเกิดมีสิ่งใดมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตจะคิดตามสิ่งที่มากระทบทันที ให้สำรวจดูว่าเรื่องที่จิตคิดในขณะนั้น เกิดจากอำนาจของกิเลสหรือปัญญา แท้ที่จริงแล้ว กิเลสและปัญญาต่างหากที่เป็นนายของจิตและกาย
...ที่มา...

30 September 2010

พรสวรรค์ คืออะไร

       คำว่าพรสวรรค์ ส่วนมากสังคมเค้าจะนิยมใช้เรียกคนที่มีความสามารถ เช่น เด็กที่สามารถเล่นดนตรีได้เก่งกว่าผู้ใหญ่ มีควาามจำที่ดีกว่าคนธรรมดา ฉลาดกว่าคนอื่นๆมากหรือเก่งเกินวัยอะไรประมานนั้น มันก็น่าแปลกว่าทำไมสวรรค์ถึงไม่ให้พรกับทุกคนนะ ^ ^
       แท้ที่จริงแล้วตัวเราเองต่างหากที่เป็นให้คนพรตัวเอง ก็คือเป็นเรื่องของกรรม กรรมมี 2 ลักษณะ คือ ทำความดีเรียกว่ากรรมดี ทำความชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว ผู้ที่ได้ทำความดีมามากกรรมก็จะส่งผลให้ได้ผลที่ดี อย่างเช่น เด็กที่สามารถเล่นดนตรีได้เก่งกว่าผู้ใหญ่ก็เนื่องมาจากอดีตเคยได้ให้วิชาความรู้ในด้านดนตรีเป็นวิทยาทานมามาก  คนที่มีความจำดีกว่าคนธรรมดาสามัญก็เนื่องมาจากอดีตเคยได้ฝึกสมาธิ มีสมาธิในการเรียน การทำงาน หรืออื่นๆมามาก เมื่อถึงปัจจุบันกรรมก็ส่งผลให้เป็นผู้ที่มีความจำดี
       ที่คนหรือสังคม เรียกว่า "พรสวรรค์" ก็เนื่องมาจาก ไม่ได้ศึกษาเรื่องของกรรม จึงไม่รู้ว่ามันมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุอะไรที่ทำแล้วได้ผลแบบนี้แบบนั้น ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ไม่เข้าใจเรื่องกรรม ก็เลยยกให้สวรรค์ไปว่าเป็นผู้ที่ให้พร ดังนี้แล

       จะขอกล่าวถึงเรื่องของกรรมเพิ่มเติมนะครับ  เรื่องของกรรมเป็นเรื่องของเหตุและผล  ถ้าเราไม่สร้างเหตุแล้วผลมันจะส่งมาได้อย่างไร ผู้ที่มีอยู่มีกิน มีฐานะ มีรูปร่างหน้าตาดี สุขภาพดีไม่มีโรค มีอายุที่ยืนยาว ก็เนื่องมาจากอดีตผู้นั้นเคย ให้ทาน ถือศีล ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก  ไม่เบียดเบียนสัตว์ ช่วยเหลือสัตว์
ตรงกันข้ามผู้ที่เป็นคนยากลำบาก จะกินเข้าไปยังไม่ค่อยจะมี  หน้าตาน่าเกลียด ยากจนข้นแค้น มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ อายุสั้น ก็เนื่องมาจากอดีตผู้นั้นไม่เคย ให้ทาน  ไม่นำศีลมาปฏิบัติ  ดูถูกเหยียดหยามคนจนไม่ช่วยเหลือเจือจุน เบียดเบียนชีวิตสัตว์น้อยใหญ่เขาเหล่านั่นจึงต้องมารับผลอย่างนี้แล

       สรุป ท่านทั้งหลายควรสร้างเหตุที่ดี  เพื่อจะรับผลที่ดีจากการกระทำของตัวท่านเอง ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควร  ถ้าทำความดีเกินกว่าที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ถ้าทำความดีมากกว่าจะเกิดบนสวรรค์สามารถกำจัดกิเลสให้หมดจากจิตได้ ก็จะเข้าสู่นิพพานไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

25 September 2010

ผู้ที่ไม่แต่งงาน จะตกนรก จริงหรือไม่

        ข้าพเจ้าว่าไม่จริง ไม่มีเหตุผลพอที่คนที่ไม่แต่งงานจะตกนรก เพราะไม่ได้ทำความชั่วใดๆ คำพูดที่ว่าใครไม่แต่งงานต้องตกนรก เป็นคำพูดของ พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มาตั้งแต่ในอดีต เพราะท่านเหล่านั้นต้องการให้ลูกหลานแต่งงาน ให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ มีพ่อ แม่ ลูก เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป และมีคนมาดูแลแทน ตายก็ตายตาหลับ เป็นเพราะพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มีปัญญาน้อย เห็นการมีคู่ครองว่าเป็นสุข ที่จริงแล้วการแต่งงานเหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะมีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น เมื่อแต่งงานแล้วต่างก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา สามีก็ว่าภรรยาเป็นของตน ภรรยาก็ว่าสามีเป็นของตน เกิดความหึงหวงกันขึ้นเป็นทุกข์กลัวสามีจะนอกใจ ฝ่ายสามีก็เป็นทุกข์กลัวภรรยาจะนอกใจเหมือนกัน...อ่านต่อ...